เรื่องของกรรม



          กาลครั้งหนึ่งมีชายคนหนึ่งเป็นคนมีกรรมมาก ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่เคยเจริญ รุ่งเรืองกับใครเขาเลย กลับไปบ้านก็โดนเมียด่า กลุ้มใจอยู่ทุกวันก็คิดจะฆ่าตัวตาย แต่เพื่อนคนหนึ่งของเขาก็ทักท้วงว่า

          “อย่าทำอย่างนั้นนะเพื่อน กรรมห้าร้อยชาติมันจะมาทัน ยังไงก็หนีไม่พ้นห้าร้อยชาติหรอกนะ”

          “งั้นเราจะทำยังไงดีล่ะ”

          “เอางี้ ถ้าเพื่อนอยากจะตายก็ให้ไปที่ภูเขาลูกหนึ่ง ที่นั่นจะมีช้างอยู่แปดตัวกำลังตกมันอยู่ทั้งนั้น ให้เพื่อนไปที่ก้อนหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง ถ้าไปถึงแล้วก็ไปทุบก้อนหินนั้น ช้างก็จะออกมาแทงเพื่อนจนตาย”

          ชายคนนั้นจึงเดินทางไปยังภูเขาลูกที่เพื่อนของตนบอก แล้วก็ไปทุบก้อนหินก้อนนั้น ช้างทั้งแปดตัวก็ออกมาหมายจะเอางาแทงให้ตายติดกับก้อนหิน แต่กรรมของชายคนนั้นยังมาไม่ถึงก้อนหินก็กลับสะท้อนมาทุบช้างทั้งแปดตัวตายเสียหมด ชายคนนั้นก็ไม่รู้จะทำยังไงก็เลยเดินไปเรื่อยๆ จนถึงเมืองงู พอพวกงูเห็นมนุษย์เข้ามาในเมืองก็เลยคุยกัน

          “เฮ้ย มีคนเข้ามาถึงเมืองเรา เราจะกิน”

          พอดีว่าที่เมืองงูนั้นเสือผ่านมาได้ยินพอดี เสือก็บอกว่า

          “ไม่ได้ๆ มนุษย์นั้นมันมีปืนเดี๋ยวมันจะเอาปืนมายิงเราตายหมด ให้เจ้าอยู่ที่นี่นะ ข้าจะไปดูให้เอง เพราะว่าเวลาเจ้าไปนะเสียงมันดัง ข้านี้สิย่องเบาเดี๋ยวจะลากมาให้กิน ถ้าเจ้าได้ยินเสียงเปรี้ยงก็ให้รีบหนีไปซะ แต่ถ้าเจ้าได้ยินเสียงคนร้องดังจ๊ากๆๆ ก็ให้รีบเข้าไปนะ”

          เมื่อเสือนั้นเข้าไปกะจะตะครุบเอาชายคนนั้นมากิน เสือก็กระโจนเข้าไป แต่ว่าเสือนั้นกระโจนสูงและแรงไปหน่อยเลยข้ามหัวชายคนนั้นไปคาอยู่ที่กิ่งไม้ไปไหนไม่ได้ เมื่อชายหนุ่มคนนั้นเห็นเสือ ด้วยความตกใจสุดขีดลืมไปว่าตนนั้นอยากจะตายก็วิ่งหนีแล้วร้อง

          “จ๊ากๆๆๆๆ เสือๆ”

          เมื่อเหล่างูได้ยินนึกว่าเสือทำตามแผนสำเร็จก็เลื้อยเข้ามาอย่างรวดเร็ว ชายคนนั้นก็วิ่งๆไปไม่ได้มองวิ่งไปเหยียบงูตายไปหมด พอไปได้ซักระยะหนึ่งก็คิดได้ว่าตนเองนั้นอยาก
จะมาตาย แต่ว่าไม่รู้จะทำอย่างไรเสียแล้ว ได้แต่เดินไปเรื่อยๆ จนไปเจอกับพระฤๅษีตนหนึ่ง พระฤๅษีนั้นก็แปลกใจ

          “มนุษย์ที่ไหนนะเข้ามาในเขตแดนแถวนี้ได้ ผ่านอสรพิษร้อยแปด ทั้งพญาเสืออีก”

          แล้วพระฤๅษีก็เดินเข้าไปหาชายคนนั้น

          “เจ้ามาได้อย่างไร”

          ชายคนนั้นก็ตอบพระฤๅษีเจ้าไปว่า

          “คือว่า ตัวข้าน้อยนี้อยากที่จะตายเจ้าข้า แต่ว่าเกิดเหตุการณ์ทำให้ข้านั้นไม่ตาย เหตุที่ข้านั้นอยากนั้นก็เพราะว่าข้านั้นทำอะไรก็ไม่เคยที่จะสำเร็จซักอย่างครับท่าน”

          พระฤๅษีท่านก็ให้ชายหนุ่มคนนี้ลองลุกและเดินไปเดินมาเพื่อที่จะดูอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มก็เดินไปเดินมาให้กับพระฤๅษีดู เมื่อดูและพระฤๅษีดูแล้วก็เอ่ยกับชายหนุ่มว่า

          “อื่ม เจ้านี่ตอนเกิดนั้นเจ้าแอบมาเกิดโดยที่เขาไม่ได้อนุญาต เขาเลยไม่ได้เอาอะไรให้เจ้ามาด้วย เจ้าเลยเกิดมาอย่างไม่มีอะไรซักอย่าง ทำอะไรก็ไม่สำเร็จเหมือนคนอื่นเขา นี่เจ้าไปหาลูกไม้หัวมันมาให้กับข้าหน่อยซิ”

          ชายหนุ่มก็ไปหาลูกไม้หัวมันมาให้ตามคำของฤๅษี เมื่อชายหนุ่มหาผลไม้มาให้แล้วฤๅษีก็ได้อวยพรให้กับชายหนุ่มแล้วบอกว่า

          “ให้เจ้านั้นเดินทางไปทางนี้นะ แล้วเจ้าจะไปเจอกับเมืองๆ หนึ่ง ลูกสาวเจ้าเมืองไม่สบายรักษาไม่หาย”
         

          แล้วพระฤๅษีก็ให้ห่อยาห่อหนึ่งให้กับชายคนนั้น ชายหนุ่มเมื่อได้ห่อยาแล้วก็เดินไปในทิศที่พระฤๅษีบอก เมื่อเดินไปเรื่อยๆ นั้นแล้วก็เดินไปพบกับเมืองๆ นั้นที่พระฤๅษีบอก ลูกสาวเจ้าเมืองก็ไม่สบายจริงๆ เจ้าหนุ่มนี้ก็ลองเข้าไปเพื่อที่จะลองรักษาลูกสาวเจ้าเมืองให้หายจากโรค เพราะว่าตนเองนั้นก็ไม่มีอะไรที่จะเสียอยู่แล้ว

          เมื่อเข้าไปแล้วเจ้าเมืองก็ให้รักษา แต่มีข้อแม้ว่าถ้ารักษาลูกสาวตนนั้นหายจะให้ครองเมืองครึ่งหนึ่งแล้วจะยกลูกสาวให้แต่งงานด้วย แต่ถ้าไม่หายนั้นจะจับไปประหารชีวิต
เสีย เมื่อให้ชายหนุ่มคนนี้รักษาได้ซักพัก อาการของลูกสาวที่ทรุดโทรมนั้นก็ดีขึ้นมาเรื่อยๆ จนหายไปในที่สุด พญาเจ้าเมืองนั้นก็ให้เจ้าชายหนุ่มนั้นครองเมืองครึ่งหนึ่งแล้วก็ยกลูกสาวของตนนั้นให้เป็นเมีย

          อยู่มาเรื่อยๆ ชายหนุ่มคนนี้ก็เกิดความสุขสบายขึ้นมาไม่อยากที่ตายแล้ว เมื่อชายหนุ่มไปเปิดดูชะตาชีวิตของตนในพรหมชาตินั้นชีวิตของตนเองนั้นจะหมดเมื่ออายุได้ ๗๒ ปี
เมื่อเป็นอย่างนั้นชายคนนี้ก็เลยจะลงไปอยู่ใต้พื้นสระน้ำในอุทยาน เพราะว่าตนนั้นมีวิชาที่
เรียนมาจากพระฤๅษีอยู่ติดตัว ชายคนนี้จึงลงไปอยู่ใต้บาดาลโดยเอาโซ่นั้นมัดที่อยู่ของตน
ที่ใต้บาดาลเอาไว้ ก่อนที่จะลงไปอยู่มันก็ได้เอาราวตากผ้านั้นไปตั้งไว้รอบๆ สระน้ำและ
ทั่วเมืองเพื่อที่จะกันทหารผีของพญายมราชติดตามได้

          เมื่อถึงเวลาตายมันก็ลงไปอยู่ใต้น้ำ พญายมราชก็ให้ทหารออกตามหาคนที่ถึงฆาตรวมถึงชายคนนี้ด้วย เมื่อทหารตามหาวิญญาณผู้ตายจนเกือบครบแล้วเหลือแต่ชายคนนี้คนเดียวเท่านั้น ทหารผีก็ออกตามหาจนทั่วแต่ก็ไม่พบ เพราะว่าทหารผีนั้นลอดราวตากผ้าไปๆ มาๆ จนอาคมหรืออิทธิฤทธิ์เสื่อมลงต่างไม่รู้จะทำอย่างไรเลยพูดกันว่า

          “อิทธิฤทธิ์เรานั้นเสื่อมกันแล้วเพราะว่าเรานั้นไปลอดราวตากผ้ามา เราไปเอาน้ำขมิ้นส้มป่อยมาอาบสรงตัวให้ฤทธีเรากลับมากันเถอะ”

          ทหารผีทั้งหลายก็ไปยังที่สระน้ำในอุทยานเพื่อที่จะเอาน้ำมาแช่อาบ แต่เมื่อเดินไปนั้นกลับไปสะดุดกับโซ่ที่คล้องที่อยู่ของชายคนนั้นริมสระ ทหารผีทั้งหลายก็ลองสาวโซ่นั้น
ขึ้นมาก็เจอชายคนนั้นและเอาวิญญาณของชายคนนั้นไปในที่สุด คนเรานั้นจะหลีกหนีความตายไปไม่ได้แม้จะหนียังไงหรือว่าเก่งกาจขนาดไหนก็ไม่สามารถที่จะหนีได้
ลูกเขยคนทุกข์

          กาลครั้งหนึ่ง มีเศรษฐีคนหนึ่งชอบทำบุญทำทาน ชอบช่วยเหลือชาวบ้านชาวเมืองอยู่เป็นประจำ ต่อมาวันหนึ่งเศรษฐีก็คิดว่าหมู่บ้านเรานี้ยังไม่มีพระประธานเลย จึงอยากได้พระประธานไว้ประจำหมู่บ้าน จึงไปประกาศให้ชาวบ้านช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะได้พระประธานไว้ในหมู่บ้าน

          มีผู้หญิงคนหนึ่งก็อยากจะทำบุญกับคนอื่นๆ แต่ด้วยความยากจนไม่มีเงินมีทองเลย นางก็อยากได้เงินจะได้นำมาทำบุญด้วย ก็มาคิดว่าจะออกไปตัดฟืนไปขายหาเงินช่วยคนอื่นๆ หญิงคนนั้นก็ไปตัดฟืนคนเดียว ไม่ได้กินข้าวกินน้ำจนแสบท้องไปหมด ระหว่างที่ตัดฟืนอยู่นั้นก็มีชายคนหนึ่งมาถามว่า

          “จะตัดไม้ไปทำอะไรเหรอ”

          นางก็ตอบว่า

          “ท่านเศรษฐีท่านจะสร้างพระประธาน ข้าก็เลยจะเอาผืนนี้ไปช่วยเขา”

          ชายคนนั้นได้ฟังก็อยากจะทำบุญด้วย ก็เลยช่วยตัดฟืนจนได้เยอะแยะก็ช่วยกันหาบไปให้เศรษฐี พอสร้างพระประธานเสร็จก็มีการทำบุญ หญิงคนนั้นก็อธิษฐานว่าขอให้ได้ไปเกิดเป็นลูกเศรษฐี ส่วนชายคนนั้นก็ภาวนาว่าขอให้ได้ไปเกิดบนกองเงินกองทอง

          ต่อมาเมื่อทั้งสองคนตายไป หญิงคนนั้นก็ไปเกิดเป็นลูกเศรษฐี พอเติบโตเป็นลูกสาวเศรษฐี อยากได้ลูกเขยก็ประกาศให้เสนาอำมาตย์และชายหนุ่มทั่วทั้งเมืองมาให้ลูกสาวของตนเลือก หนุ่มคนไหนมาให้เลือกก็ไม่พึงใจ พ่อเศรษฐีก็จึงถามคนใช้ว่ายังมีผู้ชายในเมือง
เหลืออีกไหม คนใช้ก็ตอบว่า

          “ยังมีผู้ชายอีกคนหนึ่งขอรับ มันเป็นคนยากจน มันไม่มีเสื้อผ้าจะนุ่ง มันอายก็เลยไม่มา”

          ท่านเศรษฐีก็บอกว่าให้ไปพาตัวมา พอคนใช้พาตัวหนุ่มยาจกคนนั้นหรือในอดีตชาติก็คือ ชายคนที่ช่วยนางตัดไม้นั่นมาถึงในบ้าน ลูกสาวเศรษฐีก็บอกว่าจะเลือกผู้ชายคนนี้เป็นสามี เศรษฐีได้ฟังก็เสียใจว่าลูกสาวจะเลือกคนยากจนอย่างนี้เป็นสามี ก็อับอายชาวบ้าน
ชาวช่อง จึงบอกลูกสาวว่า

          “ลูกเอ๋ย ถ้าลูกจะเลือกผู้ชายคนนี้ พ่ออายชาวบ้านเขา พ่อจะแบ่งเงินแบ่งทองให้ลูกไปอยู่ด้วยกันเสีย อย่าอยู่ที่บ้านนี่เลย พ่ออายเขา”

          ทั้งสองคนก็เอาเงินทองที่พ่อเศรษฐีแบ่งให้นั้นไปอยู่กินกันที่กระท่อมเพียงสองคน เงินที่ได้มาก็เอาไปซื้อของกินของใช้หมดไปทุกวันๆ ชายคนนั้นจะไปทำงานที่ไหนก็ไม่พอกิน เงินก็หมดไปจนเหลือทองชิ้นสุดท้าย ลูกสาวเศรษฐีก็ว่า

          “พี่เอาทองนี้ไปขายในเมืองเถอะ”

          ฝ่ายชายหนุ่มผู้เป็นสามีมันเกิดมาก็ไม่เคยรู้จักมาก่อนว่านี่คือทองคำ ก็เถียงเมียไปว่า

          “นี่มันทองที่ไหนกัน มันเป็นข้างขวดต่างหาก จะให้พี่ไปขายได้ยังไง ข้างขวดนี่ที่พื้นกระท่อมมีเยอะแยะไป”

          เมียก็เลยถามว่า

          “ไหน พี่พาฉันไปดูซิ”

          พอชายหนุ่มพาลูกสาวเศรษฐีไปดู ก็ปรากฏว่าข้างใต้กระท่อมนั้นคือทองคำทั้งหมด พอไปบอกพ่อเศรษฐีมาดู ก็เห็นว่าเป็นทองคำจริงๆ ก็สั่งให้ใช้เอาเกวียนไปลากเอาทองคำนั้น ลากไปเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักหมด เศรษฐีก็ดีอกดีใจ เลี้ยงต้อนรับลูกเขย กลายเป็นว่าลูกเขยนั้น กลับร่ำรวยมีทองคำเต็มพื้นเรือน เลยได้เป็นมหาเศรษฐีกันไปทั้งผัวทั้งเมีย ตั้งแต่นั้นมาก็อยู่กินกันอย่างมีความสุขตราบชั่วนิรันดร์