จำนวน 2 เรื่อง

ปู่ละหึ่ง

ตำนานปรัมปรา
เมืองแพร่นี้มีธรรมชาติอยู่หลาย ที่อำเภอสูงเม่นมีดอยชื่อว่าดอยลักไก่ และที่ตำบลสวนเขื่อน อำเภอเมืองก็มีบ่าผาสามเส้า และยังมีบ้านอีกบ้านนึ่งเรียกว่าบ้านแจ้ อยู่อำเภอร้องกวาง เขตเมืองน่าน สมัยก่อนนั้นอำเภอป๋งขึ้นกับเมืองน่านอยู่และมีนิทานปรัมปรา เล่ากันมาว่า คนสมัยก่อนนี้ตัวใหญ่ตัวสูงเขาเรียกว่าปู่ละหึ่ง ปู่ละหึ่งนี้มันมัดไก่ไว้ที่ดอยลักไก่ แล้วก็ไปตั้งหม้อนึ่งเอาไว้นึ่งข้าวที่ผาสามเส้า ก้อนเส้านั้นมีสามก้อน (ถ้าเราอยู่ที่ถนนช่อแฮมองไปก็เห็น) แล้วปู่ละหึ่งก็ไปแช่เข้าที่บ้านแจ้ ปู่ละหึ่งนั้นนึ่งข้าวที่ผาสามเส้า แล้วก็ป๋งหม้อนึ่ง หรือว่ายกหม้อนึ่งข้าวลงที่เข้าที่เมืองป๋ง อันนี้ที่เขาว่าปู่ละหึ่งลองจินตนาการดูว่าตัวใหญ่ ขนาดไหน หลังจากที่ปู่ละหึ่งนึ่งเข้าทำอาหารแล้ว ปู่ละหึ่งนี้ไปหาปลาอีก แล้วยังมีเพื่อนของปู่ละหึ่งอีกคนนึ่งชื่อว่าปู่ง้มฟ้า ปู่ละหึ่งนี้หาปลาอยู่ได้ปลาประมาณกองเต็ม ๓ ไร่นา ปู่โง้มฟ้ามาปะปู่ละหึ่งที่กำลังหาปลาอยู่ก็ทักเพื่อนว่า “หึ่งๆ ได้ปลาเยอะไหม” “โอ้ ได้สองสามตัวเท่านั้นมั้ง” ปู่ละหึ่งไม่ทันได้ดูว่าปลานั้นได้เท่าไหร่แน่ ปู่โง้มฟ้านั้นยิ่งสูงใหญ่กว่าปู่ละหึ่งอีกมันกล่าวกับเพื่อนมันว่า “หึ่งๆ เอ เราขอปลาสักตัวนะ” “เอ่อ เอาไปสิ” ปู้โง้มฟ้าก็เอาปลายนิ้วหยิบเอาปลา เพียงหยิบมือเดียวปลาทั้ง ๓ ไร่นานั้นก็อยู่ในหยิบมือของปู่โง้มฟ้าแล้ว ผลที่สุดปู่ละหึ่งก็ตามปู่โง้มฟ้าไปเอาปลาได้ ๓ ปี ถึงจะพบรอยเท้าเพียงข้างเดียวของปู่โง้มฟ้า วิ่งอีก ๓ ปีก็เจอรอยเท้าอีกข้างหนึ่งของปู่โง้มฟ้า

ปู่แถน ย่าแถน

ตำนานปรัมปรา
นิทานที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นนิทานที่คนเฒ่าคนแก่เล่ากันมาจนถึงปัจจุบันนี้ มันก็มีว่าคนภาคเหนือหรือคนลานนาเรานี้เขาว่าการที่คนเรานั้นทำอะไรไม่สำเร็จหรือว่าเกิดป่วยเป็นนั่นๆ นี่ๆ ทำอะไรก็ล้มเหลวนั้นเขาว่าเกิดจากการที่ปู่แถนย่าแถนนั้นแช่งให้เป็น บางครั้ง ก็มีการส่งแถนหรือว่าทำเครื่อพลีกรรมส่งให้แถนเพื่อให้เคราะห์ภัยต่างๆ นั้นหายไป ปู่แถนย่าแถนนี้เป็นเทพองค์หนึ่ง คืออยู่ในพิภพโลกเรา ไม่ใช่อยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้าอะไร ปู่แถนนี้ก็อยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ถ้ำนั้นวิจิตรด้วยแก้วเจ็ดประการ งามหาที่สุดไม่ได้ ทีนี้ปู่แถนจะเป็นผู้แบ่งบุญแบ่งบาปแบ่งกรรมก่อนที่คนจะลงมาเกิด จะต้องไปรับเอาที่ถ่ำแก้วเจ็ดประการนั้น ใครที่สร้างบุญสร้างบาปมาก็จะไปรับเอาที่นั่น ปู่แถนย่าแถนมีหน้าที่จำหน่ายจ่ายแจกแบ่งบุญบาปแบ่งกรรมให้ เรื่องมันก็มีอยู่ว่า ชายสองคนพ่อแม่ตายมาตั้งแต่ยังเล็กๆ ทีนี้ก็อยู่ด้วยกันมารับจ้างเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย จนอายุได้ ๒๐ ปี ทั้งสองคนนั้นก็มาเจรจากันว่า “เอ้อ เราเกิดมาพ่อแม่ก็ไม่มี เข้าของมรดกอะไรก็ไม่มี เกิดมาทุกข์ยากแท้หนอ เราจะทำอย่างไรกันดี ยิ่งคิดก็ยิ่งน้อยใจตัวเองเนาะ” อีกคนหนึ่งก็ว่า “โอ ปล่อยไปตามเรื่องตามราวมันเถอะ” อีกคนก็ว่า “อยู่ไปอย่างนี้ไม่ได้ อายบ้านอายเมืองเขา เขามีกันเราไม่มี” ทีนี้ชายคนที่คิดหนักนั้น ตกกลางคืนมาก็แอบหนีเข้าป่าเป็นเวลานานมาก จนชายผู้นี้ไม่รู้วันเวลาว่าเปลี่ยนไปถึงไปไหนยังไงแล้ว เขาก็ได้แต่เดินทางไปเรื่อยจนไปถึงถ้ำทองที่หนึ่ง ซึ่งเป็นที่สถิตอยู่ของปู่แถนหรือท้าวพระยาแถน ชายหนุ่มก็เห็นฉัพพรรณรังสีรัศมีแห่งแสง แก้วเจ็ดประการนั้นงามตาจึงได้เดนเข้าไปดูให้รู้ว่าเป็นแสงอะไร “ไหนๆ กูก็จะมาตายละไม่กลับไปอีก ถึงเสือจะกินช้างๆ จะกินหมีๆ จะกินช้าง กูก็ไม่กลัว กูยอมตายละ ขอเข้าไปเห็นให้มันถึงซักทีซิ “ มันก็เดินเข้าถ้ำไป ถ้ำนั้นเป็นที่เจริญหูเจริญตา พื้นปูด้วยพรมประดับด้วยแก้วเจ็ดประการ ผนังประดับประดาไปด้วยแก้วทั้งเจ็ดประการ ชายหนุ่มก็เดินไปพบกับพระยาแถนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์แก้ว เมื่อชายหนุ่มเห็นดังนั้นเขาจึงยกมือขึ้นไหว้พระยาแถนแล้วกล่าวว่า “ข้าแด่ท่านผู้เจริญ ท่านเป็นใครมาจากไหน ท่านมาทำอะไรอยู่ที่นี่เหรอ” พระยาแถนก็ว่า “เอ่อ เรานี้ชื่อว่าท้าวพระยาแถน พระพรหมส่งให้เรามาอยู่นี่ เราเป็นผู้แบ่งบุญแบ่งบาปแบ่งกรรมให้คนที่จะไปเกิดในโลกมนุษย์ ไปเกิดเป็นคนจะต้องมาจากที่นี่ไป” พระยาแถนนี้หากว่าใครจะไปเกิดนั้น ท่านจะขีดเส้นบนมือทั้งสองของผู้ที่จะไปเกิดยังโลกมนุษย์ หมอโหราจารย์ทั้งหลายก็จะดูที่เส้นบนมือคนเรานี้แล้วกทำนายทายทักไปตามนั้น ทีนี้ชายคนนั้นก็ถูกถามว่า “เรามาที่นี้เคืองใจอะไรรึเปล่า” “ไหว้สาเจ้า ข้าอยู่ในโลกมนุษย์นั้นทำอะไรต่างๆ นานา ก็ไม่มีไม่เจริญรุ่งเรืองเหมือนกับคนอื่นเขาข้าก็อยากจะรู้ว่ามันเพราะสาเหตุอันใด ข้าก็หมายจะมาตายให้รู้แล้วรู้รอดไป” พระยาแถนก็ว่า “ช้าก่อนใจเย็นๆ ไว้ ข้านี้เป็นท้าวแถนที่จะประสิทธิ์ประสาทพรให้ แต่ว่าจะประสิทธิ์ประสาทให้นั้น คนที่ได้รับพรจะต้องได้สร้างบุญกุศล สร้างคุณงามความดีมาแต่ชาติปางก่อนจึงจะได้สำเร็จ ไม่ใช่ว่าคนทุกข์เลี้ยงให้สุข คนสุขเลี้ยงให้ทุกข์อย่างนี้ไม่ใช่ เจ้ามีความ ประสงค์อันใดบ้าง” “เออ..... ข้านี้ก็.... หนึ่งขอให้ได้เป็นมหาเศรษฐีมีเงินทองช้างม้าเหมือนเศรษฐี ทั้งหลาย และสองขอให้ได้ลูกได้เมียที่งาม เท่านี้ก็พอละ” “เอาเท่านี้หรือ” ทีนี้ท้าวพระยาแถนก็สร้างเมียก่อน ท่านก็เอาด้ายสามสิบสองเส้น แต่ละเส้นมีสามสิบสองสีเอาผูกรวมกัน เอาด้ายแต่ละเส้นไปผูกข้อมือนางต่างไว้ในถ้ำไม่ให้เห็น ด้ายแต่ละเส้นนี้มัดข้อมือนางต่างๆ เอาไว้ นางงามที่สุดก็มี ไม่งามก็มี ฟันหลุดร่วงก็มี เฒ่าแก่ก็มี แล้ว ท่านก็บอกชายหนุ่มว่า “ถ้าว่าเจ้านี้มีบุญมาก่อนก็จะได้เลือกเอาว่าจะได้เมียงามหรือไม่ แต่ละเส้นจะมีนางต่างๆ อยู่ คนงามนั้นมีเพียงหนึ่ง เราให้เวลาเลือกสามวัน” ชายหนุ่มก็เลือกเอาเต็มที่ ครบสามวันก็เอามาเส้นหนึ่ง พระยาแถนก็บอกว่า “ให้เจ้าสาวเดินตามด้ายนี้ไปนะ” ชายหนุ่มก็สาวเข้าไปเรื่อยๆ ไปพบกับนางผู้หนึ่ง เป็นนางงามหาที่เปรียบไม่ ได้ ท้าวแถนก็กล่าวว่า “อันนี้ตัวโบราณกรรมนะ อันชาติที่แล้วได้รักษาศีลห้าศีลแปดจะได้เมียงาม เอ่อ ได้เมียงามแล้วนะ หยังเหลือข้าวของสมบัติ” ท้าวแถนก็เอาเครื่องชั่งมา “เอ้า...เจ้าขึ้นชั่งน้ำหนักซิ เจ้ามีน้ำหนักเท่าไหร่ เราจะเอาให้เท่านั้นนะ” ชายหนุ่มก็ขึ้นชั่ง พญาแถนก็คิดคำนาณดูว่าเท่าไหร่แล้วก็บอกกับชายคนนั้นว่า “โอ ข้าวของที่เราเก็บไว้ห้าพันพรรษา เราก็จะได้มอบให้เจ้า เจ้านี่ชาติก่อนได้สร้างบุญไว้มากมายนัก ชาตินี้เจ้ามาขนเอาของๆ เจ้ากลับไป” ชายหนุ่มคนนี้ก็ขนทรัพย์สมบัติกลับไปบ้านตนเองพร้อมกับจูงเมียสาวงามกลับไปด้วย ทีนี้สหายสนิทก็มาหาชายคนนี้ที่บ้าน ก็มาเห็นทรัพย์สมบัติพร้อมกับเมียที่งามงดก็เลยเอ่ยถามเพื่อนตนว่า “นี่สหาย เจ้าไปเอาทรัพท์สมบัติช้างม้าวัวควาย ทรัพย์สิ่งของเหล่านี้มาจากไหน พร้อมกับได้สาวงามปานนางฟ้านี้ได้มาอย่างไร“ ชายหนุ่มก็บอกตามที่เป็นมานั้น มันก็ไปที่ถ้ำทองท้าวแถนอยู่นั้น มันก็ไปหาพระยาแถนทำเหมือนที่สหายของตนนั้นบอกทุกอย่าง พระยาแถนก็บอกว่า “เออ มีแก้วแหวนแสนสิ่งให้ แต่ว่าการที่จะให้นั้น สุดแต่เจ้านั้นได้สร้างวาสนามานะจะให้มากให้น้อยนั้นเราไม่รู้แล้วแต่บุญที่เจ้าทำมาตั้งแต่ชาติปางก่อนนะ เอ้า...จะเอาอะไรก่อน” “ผมจะเอาเมียก่อนครับ” พระยาแถนก็เอาด้ายมาให้เลือกชายคนแรก ชายคนที่สองก็เลือกเอาอย่างจริงจังจนครบสามวัน ชายคนที่สองนั้นก็สาวด้ายมาดู ชายคนที่สองนั้นถึงกับตะลึงในความงามของนางอย่างหาที่สุดไม่ได้ ทั้งฟันเหยินแถมบางซี่ร่วงด้วย ผิวหนั้นเหมือนกับน้ำป่าที่ไหล หลากจากดอยและเหลือซากเอาไว้ ขาทั้งสองข้างไม่เท่ากันอีกต่างหาก ตาของนั้นเป็นประกายวาวแววแต่ตาดำทั้งสองข้างมารวมกันที่หัวตา หูดั่งช้างสาร รูจมูกเหมือกับถ้ำ คูหาทองแห่งนี้ที่กว้างโอ่โถง อ้วนต่ำเนื้อแน่นเหมือนโคถึก ชายคนที่สองนี้หันมาหาพระยาแถนทันทีแล้วกล่าวว่า “ทำไมของเพื่อนผมนั้นถึงสวยปานนางฟ้าอย่างนั้นนะ” “อันนั้น เขาได้รักษาศีลห้าศีลแปด เขาได้เมียงามเขามีวาสนาดี ส่วนเจ้ามันมาเท่านี้แหละ อันนี้ตัวโบราณกรรมของเจ้า ชาติก่อนเจ้าได้ถวายทานข้าวเย็นแกงบูดมา พวกเจ้า ได้มาเจอกันก็ยอมรับกันไปเสียเถอะ” “แล้วเงินทองละท่าน” “จะเอาเงินทองด้วยหรอ” พญาแถนก็ให้ชายคนนี้ขึ้นนั่งบนตาชั่งแล้วก็เอาแก้วแหวนเงินทองเข้าถ่วงอีกด้าน เมื่อเอาแก้วแหวนเงินทองขึ้นว่างเครื่องชั่งก็เด้งอีกด้านขึ้นชายคนนี้เกือบจะกระเด็น เมื่อพญาแถนถ่วงดูน้ำหนักอย่างนั้นแล้วก็เอาทองแก้วแหวนออกทีละนิดเพื่อที่จะได้ถ่วงและสมดุล กันกับชายคนนี้ หยิบออกๆ จนพญาแถนเอ่ยขึ้นว่า “โอ้ ทำไมมันเบาเช่นนี้เนี่ย“ “ทำไมเราได้ทรัพย์สินเงินทองน้อยๆๆๆๆๆๆ จังละท่าน เพื่อนของเรานั้นทำไมมันได้มากๆๆๆๆ ขนาดนั้นละ ท่านลำเอียงรึเปล่า” “เจ้านี่เมื่อชาติปางก่อนนั้นไม่ได้สร้างคุณงามความดี ไม่ทำตนให้เป็นประโยชน์กับบ้านเมือง ไม่ทำบุญเข้าวัดเข้าวาฟังพระธรรมคำสอน เห็นแก่ตัว ชอบลักขโมยของคนอื่น เขา ลักเล่นชู้สู่เมียท่าน ส่วนของเจ้าที่ได้นั้น เอ้า...เอาไปทองคำได้เท่าบุญที่เจ้าสั่งสมมานะขนาดเท่าเม็ดผักกาดเนี่ย” นิทานเรื่องนี้ก็สอนให้รู้ว่า เห็นคนอื่นมั่งมีก็อย่างได้อย่าโลภเอาของเขา เห็นคนอื่นตกต่ำก็อย่าได้ดูหมิ่นดูแคลนเขา