จำนวน 20 เรื่อง

กำพร้างัวทอง

นิทานมหัศจรรย์
งัวนั้นเขามันเป็นทองล่อ มันขี่ไปชนกัน ชนงัวไผมันตึงตายหมดละ ไปชนงัวพญาเจ้าเมืองแหล่ มันมีเท่างัวล่อ ชนกินห่อข้าวเปิ้นตะอั้นละ กะเอาแหล่ เอางัวทุกตะมาชน เอาช้างเอาหยังมาชนก็ตายไปบนผียังเมืองสวรรค์มา วันพูกหั้นเอามา มาชนสั่งน้องมันแล้ว “วันพูก กันว่าพี่ตายหื้อเก็บดูกไว้ เอามาฝังไว้เน่อ” วันพูกหั้นพญาเจ้าเมืองกะเอาผีเมืองมาเป็นงัวชนแหล่ หล่อเข้า ผีเมืองกะปุดเป็นสอง สองหล่อเข้ามาปุดเป็นสี่ สี่ตัวหล่อเข้ามาปุดเป็นห้า นักขึ้น นักขึ้นติกๆ กำพร้างัวทองตายอกแตก ตายแล้วก็ขึ้นไปเป็นพระอินทร์ กำนั้นพระยาเจ้าเมืองกะไปมัดเอาไอ่เจ้ากุมารมัดติดหางช้าง ค่ำ ข้าวก็หื้อกินเท่าอองไข่ไก่ วันพูกหื้อไปฟันไร่สามม่อนดอย กันฟันบ่แล้วก็จะฆ่าไปนั่งไห้ วิสสุกรรมเทวบุตรที่เปิ้นอู้กะลงมาเนรมิต ฟันหมดสามม่อนดอย ฝนตกซึกๆ ใช้ไปเผาไร่ ไปเอาไฟไปจุด แซ่กะดับไปเหีย ไห้แหม พี่เปิ้นฮู้ เนรมิตเป็นไฟเผาหมด ทีนี้เอาหื้อเปิ้นไปปลูกแหม ต่างข้าว ๗ ลำเกวียนหื้อแล้ววันเดียว บ่หื้อติดปากขุมสักเมล็ด พี่เปิ้นก็มาช่วยแล้วหมด แล้วใช้คนไปกอยละ เอามัดติดหางช้างไปแหล่ กำมาก็ห้อยหางช้างมา มาแผวก็เอาข้าวหื้อกินเท่าอองไข่ไก่ ค่ำแท้ๆ จ้างหื้อไปแปงปราสาทกลางน้ำมหาสมุทรหื้อกู ถ้าบ่ไปจะตาย แปงขวานขี้ครั่งหื้อ เอาไปพันกะมันแหลวเสี้ยงปัดตกหวะ ไปนั่งไห้แหม พี่เปิ้นก็ลงเนรมิต เอาปลิงมาแปงเชือกแปงตอก เอาปลามาแปงแป้นเปงเลา เข้าไป พาลูกน้องรี้พลเข้าไปแผวกลางปุ๊น ทีนี้มันกะลั่นแหล่ ปราสาทใหม่มันกะลั่นพ่องก่า หลุบหมด เหลือทุคตะคนเดียวบ่ดาย เลยได้เป็นพญาเจ้าเมืองสืบต่อไปเหีย

กำพร้าหมาดำ

นิทานมหัศจรรย์
กาลครั้งหนึ่งมีหมาตัวหนึ่ง เกิดลูกมาเป็นหญิง 3 คน อาศัยอยู่ที่ผาสามเส้าซึ่งอยู่ในป่าใหญ่ ส่วนแม่หมานั้นก็เสาะแสวงหาเศษอาหารของชาวบ้านไปเลี้ยงลูก พอลูกสาวทั้งสามเติบใหญ่ขึ้นมา ก็มีพวกชาวบ้านไปพบนางทั้ง 3 ซึ่งมีความงดงามมาก จึงนำความนั้นมา บอกเล่ากับพญาเจ้าเมืองให้รู้ เมื่อพญาเจ้าเมืองรู้เรื่อง ก็นำเอารี้พลเสนาอามาตย์ตกแต่ง มาเพื่อจะไปแห่แหนเอานางแม่หญิงทั้งสามซึ่งเป็นลูกของแม่หมาตัวนั้นมาเป็นมเหสีเทวีของตน พอถึงที่ก็เชิญนางทั้งสามขึ้นขี่ช้างเพื่อจะแห่เอามาในเมือง นางทั้งสามก็รู้สึกละอาย ก็ไม่ยอมจะมาโดยง่าย เพราะเป็นห่วงและอาลัยยังแม่ผู้บังเกิดเกล้าอันไปแสวงหาอาหารซึ่งยังไม่กลับ ส่วนพญาเจ้าเมืองก็บังคับเอานางทั้งสามมาจนได้ แล้วก็แห่แหน เอามายังบ้านเมืองของตนแล้วท่านพญาเจ้าเมืองก็จัดทำปราสาทให้อยู่คนละหลังทั้งสามพี่น้อง ส่วนแม่ของนางทั้งสามที่เป็นหมานั้น ซึ่งไปหาอาหารกลับมายังที่พักไม่เห็นยังลูกสาวทั้งสามคนแล้วก็เศร้าโศกและเสียใจเวทนาและร้องไห้ ติดตามรอยไปยังเมืองที่ลูกอยู่ แล้วก็ไปอยู่ใต้ปราสาทแห่งนางผู้เป็นพี่เอ้ยหรือเป็นคนโต แล้วก็เห่าหอนและเวทนาทุกข์เป็นอย่างยิ่ง ฝ่ายหญิงผู้เป็นลูกคนโตก็เลยใช้หื้อเสนาอามาตย์ไล่เอาไม้ไล่บุบ ทุบตีแม่ “นั่นหมาใครมาเห่าหอนอยู่หน้าปราสาทนั้น “ ความจริงหญิงคนนั้นก็รู้แล้วว่าเป็นแม่แห่งตน แต่แกล้งไม่รู้ แม่ก็เลยวิ่งหนี แล้วไปหาปราสาทของหญิงคนที่สอง แล้วก็เห่าหอนร่ำไรเวทนา ลูกสาวคนที่สองก็ใช้ให้เสนาอามาตย์เอาไม้ไล่บุบทุบตีให้หนีออกไป “นั่นหมาใครมาเห่าหอนอยู่ที่นั้น” ความจริง ลูกสาวคนที่สองก็รู้แล้วว่าเป็นแม่แห่งตน แต่ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ เพราะอายว่าจะเสียยศถาบรรดาศักดิ์ว่าเป็นลูกสัตว์เดรัจฉาน หมาผู้เป็นแม่ก็หนีไปด้วยความเศร้าโศก เสียใจแล้วก็เดินไปหาลูกหญิงคนสุดท้องแล้วก็ไปเห่าหอนเวทนาทุกข์โศก พอลูกสาวคนสุดท้องรู้ว่าเป็นแม่ของตนก็ใช้ให้เสนาอามาตย์เอาข้าวและน้ำใส่พานเงินพานคำไปให้แม่ ได้กินและบริโภคจนอิ่มหนำสำราญแล้วก็กลับไปที่อยู่แห่งตนด้วยความโศกและเวทนาหาลูก แม่หมาทำอย่างนั้นหลายครั้งหลายคราว คือมาหาแต่ลูกหญิงคนสุดท้องอยู่บ่อยๆ ผู้เป็นลูกก็มีความรักและสงสารแม่และคิดถึงบุญคุณที่แม่ได้เลี้ยงตนมาในเมื่อแม่เห่าหอนและ โศกเวทนาอย่างปางหลัง นางก็ใช้ให้เสนาอามาตย์ลักอุ้มเอาแม่ขึ้นไปบนปราสาท ด้วย ไม่ให้พญาเจ้าเมืองผู้เป็นผัวได้รู้ได้เห็น แล้วนางก็อุ้มเอาแม่ไปใส่ในหีบไว้ที่หัวนอน และเอาข้าวเอาน้ำหื้อกินอย่างแสนสบายใจ ในที่สุดต่อมาแม่ก็จุติตายแล้วเอาดวงวิญญาณไปสู่สุคติบนฟากฟ้า บนสวรรค์แล้วเหลือแต่ซากศพอยู่ในหีบหั้น ซากศพของแม่หมาตัวนั้นเลยกลับกลายเป็นทองคำไปทั้งแท่ง ส่วนนางลูกคนสุดท้องนั้น ก็ไปเปิดดูไม่เห็นแม่แล้วเห็นแต่ทองคำอยู่ในหีบนั้นแทนแม่แห่งตัว นางก็เลยดีอกดีใจ แล้วเอาทองคำนั้นขายแล้วก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปหายังแม่ผู้เป็นหมานั้นว่า “ขอให้แม่ได้รับส่วนกุศลบุญอันลูกได้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลนี้ทุกประการ”

ฆ่ายักษ์

นิทานมหัศจรรย์
มียักษ์ตนหนึ่ง ชอบเข้าเมืองมาจับกินเด็ก ทีนี้มีลูกของย่าแม่หม้ายคนหนึ่ง มันคิดว่าจะทำอย่างไรดียักษ์จะมากินลูกของตน หอบอุ้มไปที่ไหนก็กลัวไม่พ้นยักษ์ ย่าแม่ม่ายนี้ก็เลยคิดที่จะหาคนที่จะมาฆ่ายักษ ย่าแม่หม้ายนั้นก็เดินไป ไปพบไก่ ไก่ถามขึ้นมาว่า “ไปไหนป้า” “หาคนฆ่ายักษ์” “โอ้ ไม่เป็นไร ข้าจะไปช่วย” แม่ม่ายก็เดินไปต่อ ไปพบปลากั้ง ปลากั้งกำลังเล่นน้ำอยู่ถามย่าแม่ม่ายว่า “ไปไหนป้า” “หาคนฆ่ายักษ์” “เดี๋ยวข้าจะไปช่วย เอาข้าไปด้วยเถอะ” เดินไป ก็ไปพบแมงป่อง แมงป่องก็จะไปช่วยเหมือนกันก็พากันมา มาพบฟักเขียวห้อยอยู่ ฟักก็ถาม แล้วก็จะไปช่วยอีก มานั่งอยู่ที่ก้อนหิน หินก็ถาม “ป้ามานั่งที่นี่ จะไปไหนกัน” “โอ้ ข้าจะมาหาเอาคนไปฆ่ายักษ์นา” “ไป ไปด้วย ข้าจะไปด้วย “ แม่ม่ายก็แบกหินมาด้วย ทั้งหมดก็มีก้อนหิน ฟักเขียว ไก่ แมงป่อง มาถึงบ้านหินก็ว่า “ เอาเถอะ เอาข้าไว้นี่ ไม่ต้องเอาขึ้นไปบนเรือน” ปลากั้งก็ว่า “เอาข้าไปไว้ที่เตาไฟนะ ข้าจะอยู่ที่ขี้เถ้า” ทีนี้แมงป่องก็ว่าเอาไว้ที่กระบวยข้างหม้อน้ำ ฟักเขียวก็ว่า “เอาข้าไปแขวนไว้ที่ปากประตู” ไก่ก็ว่า “เอาข้าไปไว้พื้นก้นตู(ใต้พื้นที่ส่วนหลังสุดของบ้าน)” พอตกกลางคืน ยักษ์ก็ออกมาหากินเด็กในหมู่บ้าน พอมาถึงบ้านแม่หม้าย ไก่ก็ขัน “ยักษ์ตาแดงมากินลูกกูเถอะๆ” ไก่มันขันว่าอย่างนั้น ยักษ์มันว่ามันก็โกรธมาก “ที่ไหนๆ เขาก็กลัวกู ไอ้นี่มันมาท้าทายกู” ยักษ์มันก็วิ่งขึ้นเรือนไป เอาหัวไปชนฟักเขียวเข้าให้ ก็ถึงกับมึนก็สงสัยว่ามันคืออะไร มันก็วิ่งเข้าไปในเตาไฟ จะไปจุดไฟเพื่อเอามาดูว่ามันเป็นอะไร พอเข้าไป ปลากั้งก็ดิ้นจนขี้เถ้าเข้าตายักษ์ มันก็ก้มควานหาน้ำจะเอามาล้างหน้า พอตักน้ำขึ้นมาจะบ้วนปาก แมงป่องก็ ต่อยปาก ตาก็มองไม่เห็น ปากก็เจ็บ ก็เลยจะลงมาข้างล่างเกิดเหยียบบันใดพลาดตกลงมา เอาหัวไปเอาหัวฟาดก้อนหิน ตายอยู่ที่นั่น

ช้างเจ็ดหัวเจ็ดหาง

นิทานมหัศจรรย์
มีเด็กชายกำพร้าสองคนพ่อตายเมื่อประมาณหนึ่งเดือนมาแล้วหลังจากนั้นแม่ก็ล้มป่วยตามไปอีคน ทั้งสองก็อยู่กันตามลำพังสองพี่น้อง วันหนึ่งน้องเกิดความคิดถึงพ่อแม่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรได้แต่ร้องไห้ไม่ยอมหยุด ฝ่ายพี่ก็ทำต่างๆ นานาเพื่อให้น้องหยุดร้องแต่น้องก็ ไม่ยอมหยุดร้องไห้ พี่ก็เลยบอกว่า “เอ้อ น้องเอ้ย ไม่ต้องร้องไห้ละนะ เงียบเสียเถอะ พี่จะไปเสาะหาเอาช้างเจ็ดหัวเจ็ดหางมาให้ดูนะ” ทีนี้ก็มีชาวบ้านใจร้ายคนหนึ่ง ได้ยินก็เลยเอาเรื่องนี้ไปบอกกับพญาเจ้าเมือง พญาเจ้าเมืองก็ใช้คนไปเอาเด็กสองตัวนั้นมานี่ “มีที่ไหนช้างเจ็ดหัวเจ็ดหาง มันมีจริงหรือ มีที่ไหน” ความจริงมันก็ไม่มี เป็นสิ่งที่พี่ต้องการหลอกน้องให้หยุดร้องไห้เท่านั้น ทีนี้พญาเจ้าเมืองก็สั่งให้พี่ชายออกตามหาเอาช้างเจ็ดหัวเจ็ดหางมาให้ ถ้าหามาไม่ได้พญาเจ้าเมืองก็จะประหารชีวิตทั้งพี่และน้องเสีย “ถ้ามึงไม่ไปเอาช้างเจ็ดหัวเจ็ดหางมาให้กู กูจะฆ่ามึงเสียทั้งพี่น้อง หากมึงเอาช้างเจ็ดหัวเจ็ดหางมาได้ กูจะแบ่งเมืองให้มึงครองครึ่งหนึ่ง” พี่ชายก็ไม่รู้จะทำยังไงก็ได้แต่ร้องไห้อ้อนวอน “จะทำยังไง น้องผมมันยังเล็กอยู่ ไม่รู้จะเอาฝากใครไว้ ผมขอฝากน้องไว้กับพญาเจ้าเมืองนี้ได้ไหม” พญาเจ้าเมืองก็รับปากจะเลี้ยงดูให้ แล้วพี่ชายก็เดินทางไปตามหาช้างเจ็ดหัวเจ็ดหาง เป็นเวลาหลายปี วันหนึ่งพี่ชายก็ไปทางเรือไปพบกับช้างเอางาแทงฝั่ง จึงเอ่ยปากถามว่า “ทำไมท่านช้างจึงเอางามาแทงคาฝั่งเช่นนี้” “โอ้ ข้านี่เป็นวิบากกรรมอะไรไม่รู้นะ” “รู้จัก รู้ข่าวว่าช้างเจ็ดหัวเจ็ดหางมีที่ไหนบ้างไหม” “อ้า ข้านะไม่รู้หรอก ให้ไปถามคนที่มีใจบุญ มีบุญาธิการนั้นเถอะ หากว่าเจ้าไปเจอผู้ที่บุญช่วยถามว่ามันเป็นวิบากอะไรของข้าที่ต้องมาเป็นเช่นนี้” พี่ชายก็เลยไป เดินไปก็อ้อนวอนขอร้องขึ้นถึงเทวบุตรเทวดาให้ช่วยเหลือ เพราะท่านพญาเจ้าเมืองใช้ให้ข้าไป ความจริงก็หลอกน้องให้หยุดร้องไห้เฉยๆ จำเป็นต้องไป ไม่ไปท่านก็จะฆ่า พี่ชายก็เดินทางไปเรื่อย ไปพบแม่ญิงคนนึ่ง ต้นไม้งอกออกกลางหัว ก็เลยทักว่า “ทำไมถึงมาอยู่นี่ และต้นไม้ออกกกลางหัวละท่าน” “ก็เป็นวิบากกรรมเวรอะไรไม่รู้ของข้าถึงได้เป็นเช่นนี้” “รู้ข่าวว่าช้างเจ็ดหัวเจ็ดหางอยู่ทางใหนไหมจ๊ะ” “โอ้ ข้าไม่รู้หรอก ให้ไปถามคนใจสูงใจบุญเถอะ แล้วถ้าพบคนใจสูงใจบุญนั่นก็ขอถามเรื่องราวของข้าหน่อย มันเป็นวิบากอะไร เป็นกรรมอะไรที่ได้มานั่งภาวนาอย่างนี้ ไม้ก็ ออกกลางหัว ไปไหนก็ไม่ได้” พี่ชายก็สืบเสาะหาต่อไปอีก ไปพบงูใหญ่ตัวหนึ่ง อ้อมจอมปลวกอยู่ก็ถาม “งูนี่ยังไงมาอยู่อย่างนี้” “ก็ไม่รู้ เป็นกรรมไม่รู้” “ท่านรู้ข่าวว่าช้างเจ็ดหัวเจ็ดหางมีที่ใดไหม” “อ้า ข้านะไม่รู้หรอก ให้ไปถามคนที่มีใจบุญ มีบุญาธิการนั้นเถอะ หากว่าเจ้าไปเจอผู้ที่บุญใหญ่ช่วยถามว่ามันเป็นวิบากอะไรของข้าที่ต้องมาเป็นเช่นนี้” มันก็เดินไป ก็ไปพบกับพระฤาษีจำศีลอยู่ในป่า ก็เข้าไปน้อมไปไหว แล้วถามว่า “ช้างเจ็ดหัวเจ็ดหางมันมีแห่งหนตำบลใดท่านฤๅษีพอที่จะรู้ไหมครับ” แล้วพี่ชายก็เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้กับพระฤาษีฟังทั้งหมด พระฤาษีก็ว่า “โอ้ มันมีแต่มันไกล หลานจะไปนี่มันยากมากๆ ขออยู่กับฤาษีนี่สักพักก่อน เรียนวิชาอาคมให้เก่งก่อนแล้วค่อยไป มันอยู่เมืองยักษ์นู่น” ชายหนุ่มนั้นก็เลยอยู่กับพระฤาษี เป็นผู้ดูแลพระฤาษีและฤาษีก็สอนวิชาอาคมให้แล้วเมื่อเรียนวิชากับพระฤาษีสำเร็จหมดก็ถึงเวลาที่ต้องเดินทางออกไปหาช้างตัวนั้น พระฤาษีก็บอกให้ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือไปที่เมืองยักษ์ ก่อนจะไปนั้นชายหนุ่มก็ได้ถามมาถึงเรื่องราวที่เจอถึงกรรมเวรต่างที่ตนได้พบเห็นมาตลอดทางกับพระฤาษี ท่านก็ตอบไปว่า “เอ่อ ช้างที่เอางาแทงตาฝั่งนั่น ชาติแล้วมันไปพังสะพานของคนอื่น ชาตินี้มันเลยมาเอางาคาตาฝั่งไว้เป็นเหมือนสะพานใช้หนี้เขา” “เอ่อ ส่วนหญิงคนนั้น เมื่อชาติที่แล้วมันเด็ดดอกวัดมาเหน็บประดับตน ชาตินี้ไม้ก็ออกกลางหัวไปไหนก็ไม่ได้” “แล้วงูใหญ่ที่อ้อมจอมปลวกนั่น ชาติแล้วเป็นเศรษฐีมีเงินแล้วไม่ทำบุญทำทาน ชาตินี้ก็เลยเกิดมาได้เป็นงูรัดจอมปลวกนั้นเพราะว่าของๆ มันมีที่นั่น” หลังจากนั้นชายหนุ่มก็ขอลาพระฤาษีหลังจากที่ได้ฟังถึงกรรมเวรต่างๆ ตามที่ตนเองเห็นมา เหาะจนไปถึงเมืองยักษ์ตามที่ฤาษีบอกไว้ และได้มีการต่อสู้กันกับยักษ์ เกิดขึ้น ระหว่างชายหนุ่มกับยักษ์เมืองนั้น แต่ว่ายักษ์ก็ไม่สามารถที่จะสู้ชายหนุ่มนั้นได้พ่ายแพ้ไปและยอมบอกถึงที่อยู่ของช้างเจ็ดหัวเจ็ดหาง ยักษ์ก็เลยเป็นผู้นำทางไป ไปได้ช้างเจ็ดหัวเจ็ดหาง แล้วก็ยักษ์ก็พามาส่งถึงบ้านถึงเมือง ชาวเมืองทั้งหลายต่างตบมือ ไชโยโห่ร้อง ดังถึงสวรรค์ชั้นอินทร์ชั้นพรหม พญาเจ้าเมืองเสนาอามาตย์ก็หนี กลัวตายเพราะคิดว่าข้าศึกข้าเสือจะมาถึงบ้านแล้ว พญาเจ้าเมืองก็วิ่งหนีไป อกแตกตายอยู่ในป่า เมื่อพญาเจ้าเมืองตายชายหนุ่มนั่นก็ได้มาครองบ้านเมือง ได้เป็นพญาแทนตั้งแต่นั้นมา

ซื้อวิชาปัญญา

นิทานมหัศจรรย์
มีพี่น้องอยู่ด้วยกัน ๗ คน น้องคนสุดท้องนั้นมันไม่มีอะไรซักอย่างเป็นทุคตะ ส่วนพี่ทั้ง ๖ นั้นเป็นที่สรรเสริญยกยอปอปั้น ลูกชายทั้ง ๖ คนนั้นก็เอาเรือสำเภาไปค้าขาย และไปซื้อของมาขาย น้องคนสุดท้องก็ล่องไปกับพี่ทั้ง ๖ และมีเงินติดตัวแค่ ๖ แถบเท่านั้น เมื่อไปถึงที่หมาย พี่ชายทั้ง ๖ ก็ไปซื้อของมาจนพอเต็มสำเภอทั้ง ๖ ลำ ไอ้ทุคตะนั้นก็ไม่มีเงิน ไปซื้อที่ไหนก็ไม่ได้ พอดีว่ามีคนแก่คนหนึ่งเดินมาถาม “หลานจะไปที่ไหนหรือ” “โอ มาหาซื้อของ แต่ว่าไม่ได้ เพราะว่าข้ามีเงินอยู่ ๖ แถบ” “โอ ไม่ยากหลาน ให้หลานซื้อเอาวิชาปัญญาของพ่อเฒ่านี้ไปเสีย ๖ แถบ พ่อเฒ่าจะขายให้” ชายทุคคตะก็ตกลงซื้อเอาวิชาปัญญานั้นมา พ่อเฒ่านั้นก็สอนการโกหกให้เจ้าทุคตะคนนั้นว่า “ถ้าหลานจะนอนสูงก็ขอให้นอนคว่ำ ถ้าหลานจะนอนต่ำก็ให้นอนหงาย” ทีนี้ก็ถึงเวลาเอาเรือสำเภาออกเดินทางกลับเมือง พี่ชายแต่ละคนก็มีข้าวของเต็มเรือ ส่วนชายทุคคตะก็ไม่ได้อะไรมาเลย พอเรือมาถึงศาลาของยักษ์ที่หนึ่งก็มาจอดเรือนอนศาลาที่นั้น และก็ไม่มีใครรู้ว่าเป็นศาลาของยักษ์ ไอ้ทุคตะนั้นเขาให้นอนข้างนอกเขาไม่ให้นอน ข้างในด้วย เขากลัวนอนไม่หลับ และมันก็คิดได้ถึงคำที่ชายแก่คนนั้นสอนว่า “พ่อเฒ่าว่านอนสูงหื้อนอนคว่ำ กูต้องนอนคว่ำหน้า” มันก็นอนไม่หลับ ลงมานอนที่พื้นอีก “อืม...... พ่อเฒ่าบอกว่านอนต่ำให้นอนหงาย" ซักพักยักษ์เจ้าของที่ก็เหาะเหินลงมาที่ศาลานั้น ก็เอารองเท้าทิพย์ไม้เท้าทิพย์ไว้ที่หน้าศาลา แล้วขึ้นศาลาไปก็เปิดประตูก็เอาไม้แหลมไปร้อยเอาพี่ชายทั้ง ๖ คนนั้น ไอ้ทุคตะมันเห็นยักษ์ทิ้งรองเท้าทิพย์ไว้นั้น มันก็ไปสวมรองเท้าทิพย์ คว้าไม้เท้าทิพย์ ก็ไปอยู่ที่เรือสำเภา ส่วนพี่ชายทั้ง ๖ นั้นยักษ์เอาไปกินหมด หลังจากนั้นเรือสำเภาก็เป็นของไอ้ทุคตะหมด มาถึงที่บ้านที่เมือง หมู่คนทั้งหลายก็เลยถามหาพี่ทั้ง ๖ ว่าหายไปไหน ชายทุคคตะก็เล่าเรื่องราวต่างให้คนบ้านฟัง “ยักษ์เอาพี่ชายข้าไปกินหมดแล้ว ข้าไม่ได้อะไรซักอย่าง เพียงแต่ได้ไปเรียนไปซื้อเอาความรู้กับพ่อเฒ่าที่บ้านที่เขาไปซื้อของนั้นหละ เขาบอกว่าอย่างนี้ละ ก็เลยเอาตามเขา ว่า ก็เลยรอดตายมา ได้ไม้เท้าทิพย์รองเท้าทิพย์ ได้เรือสำเภามาเสีย” แล้วชายทุคตะผู้นี้ก็กลายมาเป็นมหาเศรษฐีของเมืองไป เพราะว่าลงทุนกับเรื่องของการศึกษาเล่าเรียน ตกนรก มีชีปะขาวองค์หนึ่ง เป็นชีปะขาวมาไม่เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิตซักครั้ง มีวันหนึ่งไปอาบน้ำ ที่คลองอาบน้ำไปหนวดก็ยาวเฟื้อย ออกจากอาบน้ำก็มาสางหนวด กุ้งมาอยู่ในหนวดนั้นตัวหนึ่ง กุ้งเกิดตายไป ชีปะขาวรูปนี้ก็มาคิดว่า “เอ กูเติบใหญ่มานี่ บวชเป็นผ้าขาวนี่ ไม่เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิต กุ้งมาตายกับมือโดยที่ไม่เจตนา เราจะทำอย่างไรดี” เมื่อชีรูปนี้ตายไป ก็ไปเจอกับยมบาลๆ ก็ถาม “เมื่ออยู่เป็นคนนี่เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิตบ้างไหม” “อื้อ ไม่เคยนะ” ยมบาลก็ถามอีก “แล้วมีอะไรเคยตายกับเจ้าบ้าง” “อ้อ มีครั้งเดียว มีกุ้งมาติดหนวด เรามาสางหนวดหลังจากที่อาบน้ำในแม่น้ำ กุ้งติดมาด้วยและตายตายโดยที่เราไม่ได้เจตนา” แล้วยมบาลก็ถามว่า “แล้วเจ้าจะไปทางบุญหรือว่าจะไปทางบาป” “เอ ตั้งแต่เติบใหญ่มาไม่ได้ฆ่าสัตว์ กุ้งตายตัวเดียว เราเอาไปทางบาปก่อนดีกว่า มันเป็นตัวบาปติดเรา ต้องใช้หนี้ก่อน แล้วเราจะเอาทางบุญขึ้นสู่สวรรค์ละ” แล้วยมบาลก็ให้ไปเกิดในนรก แล้วก็ไม่ได้เกิดบนสวรรค์ซักทีจนพระอริยเมต ไตรยมาเกิดถึงจะได้เกิดพ้นทุกข์ แล้วยังมีอีกคนหนึ่งฆ่าสัตว์ตัดชีวิต กินเหล้าเมายา เป็นชู้กับเมียเขา ทำบาปทุกอย่าง ตายไปยมบาลเอาไปถามอีก “เมื่ออยู่เป็นคนเจ้าทำอะไรบ้าง” “ข้าทำทุกอย่างแหละท่าน” “เหล้นชู้สู้เมียเขา เคยไหม?” “เคย” ยมบาลก็คิดรองดูในใจ “เอ ถ้ามาอยู่นี่ก็จะเหล้นชู้สู้เมียกูอีกรึเปล่า” แล้วก็บอกกับมันไปว่า “งั้น มึงขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ไป๊” แล้วส่งไปอยู่บนสวรรค์ เทวดาก็ถามอีกว่า “มึงอยู่เมืองมนุษย์นั้นมึงทำอะไรบ้าง เหล้นชู้สู่เมียเข้ารึเปล่า” “เคยสิ บ่อยด้วย” “โฮะ ไอ่นี้จะมาเล่นชู้สู้เมียกูอีกละ ไปอยู่ข้างบนไป๊” เทวดาไล่ขึ้นไปอยู่ข้างบนเรื่อยๆ ไปอยู่ชั้นดาวดึงส์นู่น และยังมีอีกคนหนึ่ง ก็ทำทุกอย่างเหมือนกัน ด่าพ่อล่อแม่ยอมตายตกนรก พ่อแม่มันด่า มันก็ด่าตอบไปว่า "ไม่เป็นไร ยอมตกนรก ถ้านรกไม่ลึกก็จะช่วยขุดให้ลึก" เมื่อตายไป ยมบาลก็เอาไปถาม “ตอนเจ้าอยู่เจ้ากินเหล้าเมายารึเปล่า “ “กินสิ ของชอบข้าเลยละท่าน ก่อนตายข้าสั่งเขาไว้ว่า ถ้าข้าตาย ข้าขอเหล้าไหหนึ่ง เสียมอันหนึ่ง” วันที่จะเอาศพชายคนนี้ไปเผา หามออกจากบ้านแต่ว่ายกไม่ขึ้น ชาวบ้านก็ถามกัน “เอ เมื่อมันเป็นคนนั้นมันสั่งอะไรบ้าง” “มันสั่งเสียมเล่มนึ่ง กับเหล้าไหนึ่ง” พอรู้สาเหตุที่ยกไม่ขึ้นแล้ว ชาวบ้านก็ไปหาเหล้ามาใส่ เอาเสียมมาใส่ ยกบ้างไม่ยกบ้างช่วยกันหาม มันกลับเบาหวิว ยมบาลก็ถามอีก มันก็ว่ามันทำทุกอย่าง “เอ้า อย่างนั้นมึงไปตกหม้อกระทะทองแดงในนรก” “เดี๋ยวก่อน ใจเย็น ๆ ท่าน ซักแป๊บนึ่งได้ไหม เหล้ามันยังไม่หมดนะ เอาให้มันหมดก่อน เราไปตกนรกแน่” มันก็กินเหล้าไป ยมบาลก็แปลกใจ ก็เลยถาม “มันอร่อยมากหรือ” “แน่นอน ถ้าไม่เชื่อลองกินซักแก้วสิท่าน” ยมบาลก็ยกแก้วหนึ่ง “เออ อร่อยดีนี่ขออีกแก้ว“ ชายหนุ่มคนนั้นก็ถามยมบาลว่า “เอาอะไรมาแกล้มดีละท่าน” ยมบาลก็ตอบไปว่า “กาปากเหล็กปากทองอร่อยนะ จับมันมาทำกลับแกล้มดีป่าว“ ชายคนนั้นก็เอากาปากเหล็กมาทำกับแกล้ม เมื่อมันได้ชิมนั้นถึงกับตะลึงมันก็ว่า “เอ อร่อยจริงๆ ลูกพี่ยมบาล” กินเหล้าจนเกือบหมดไห กาปากเหล็กปากทองก็หมด มันก็เมายมบาลก็เมา ต่างคนต่างเมา คว้าได้เสียมที่มันจะขุดนรก ก็อาละวาดทุบหม้อกระทะทองแดงในนรกแตกหมด นรกเกิดความวุ่นวายกันหมด จนยมบาลนั้นถูกไต่สวนพิเศษและถูกลงโทษไป จนทุกวันนี้ ยมบาลจึงเกลียดชังคนที่ทำบาปและกินเหล้าไม่ปราณีอีกต่อไป

ตายเพราะปาก

นิทานมหัศจรรย์
กาลครั้งหนึ่ง มีผู้ชายคนหนึ่งเป็นคนขี้เหล้า กินเหล้าทุกวันๆ ไม่ขาด จนอายุได้สี่สิบปีก็ตายไปเพราะดื่มหนัก ฝ่ายเมียของผู้ชายคนนั้นก็คิดว่าตอนที่สามีของตนมีชีวิตอยู่ก็ดื่มเหล้าเป็นประจำ ตายไปก็คงจะอยากดื่มเหล้า ก็เลยเอาขวดเหล้าไปวางไว้บนโลงศพของสามี พอวิญญาณของสามีไปลงนรก ก็เอาขวดเหล้าติดไปด้วย พอผู้ชายคนหนึ่งลงไปเฝ้ายมบาล ยมบาลก็ถามว่า “กูเรียกมึงมาตั้งแต่สองวันที่แล้ว ทำไมมึงถึงเพิ่งมา” ผู้ชายคนนั้นก็ตอบไปว่า “ผมติดธุระอยู่ครับ กำลังจะบวชลูกชาย” พอดียมบาลเห็นผู้ชายคนนั้นถือขวดติดมาด้วยก็เลยถามว่า “นั่นมันขวดอะไรที่มึงถือมาด้วยน่ะ” “นี่มันคือน้ำทิพย์ในเมืองมนุษย์” ท้าวยมบาลได้ฟังว่าเป็นน้ำทิพย์ก็เลยอยากจะลองชิม เลยขอจิบไปหน่อยหนึ่ง พอจิบไป จิบมาก็ติดใจจนเมาเหล้าตาลาย ทำอะไรก็ไม่รู้สึกตัว อ่านหนังสือก็ไม่คล่องแคล่ว พอถึงเวลาจะดูชะตาอายุของผู้ชายที่ตายมานั้น จะต้องกรอกอายุลงไปในช่องปี ช่องเดือนและช่องวัน แต่เดิมควรจะต้องเขียนลงไปว่าอายุสี่สิบปี แต่เพราะเมาเหล้าจึงเขียนลงไปเป็นสี่ร้อยสองปี เพราะยมบาลคิดว่าเขียนเป็นสี่สิบปีกับสองวัน แล้วบอกว่า “กูจะให้มึงกลับไปโลกมนุษย์ได้สองวัน ไปจัดการบวชลูกมึงให้เสร็จเสียแล้วค่อยกลับมา” ผู้ชายคนนั้นก็ได้กลับมาอยู่โลกมนุษย์นานถึงสี่ร้อยสองปี ใครๆ ก็ล้มหายตายจากไปไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น แต่ผู้ชายคนนี้ก็ยังมีชีวิตอยู่ มีลูกมีเมียไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยคน ทั้งลูกเมียก็ตายกันไปหมด แต่ผู้ชายคนนี้ก็ยังไม่ตาย ทางด้านนรกนั้น เมื่อยมบาลคนเก่าสิ้นวาระก็ได้เปลี่ยนเป็นยมบาลคนใหม่มาแทน ก็ได้ตรวจดูบัญชีรายชื่อมนุษย์ ก็เห็นว่ามีมนุษย์คนหนึ่งอายุถึงสี่ร้อยสองปีแล้วก็ยังไม่ตาย น่าจะเกิดความผิดพลาดขึ้น จึงให้ยมทูตสองคนมายังเมืองมนุษย์เพื่อตามหาผู้ชายคนนั้นจะได้นำกลับไปชำระความในนรก ฝ่ายยมทูต เมื่อมาถึงโลกมนุษย์ก็แปลงกายเป็นเด็กชายสองคนช่วยกันหาบตะกร้าถ่านไปล้างน้ำ ผู้ชายคนที่อายุสี่ร้อยสองปีก็เดินผ่านมาทางนั้นพอดี ก็เอ่ยปากถามเด็กทั้งสองว่า “นั่นพวกเจ้าจะไปไหนกันเรอะ” “ผมจะไปท่าน้ำ” ยมทูตที่แปลงร่างเป็นเด็กตอบ “ไปทำไมเหรอ” “ผมจะเอาถ่านไปขัด มันจะได้ขาว” ผู้ชายคนนั้นได้ยินก็หัวเราะเสียงดังแล้วหลุดปากออกมาว่า “โหะ กูอยู่มาถึงสี่ร้อยสองปีแล้วยังไม่เคยเห็นใครขัดถ่านอย่างนี้สักครั้ง” ยมทูตทั้งสองคนจึงรู้ว่าเป็นผู้ชายคนนี้นี่อง ก็เลยจับกลับไปชำระความในนรกเสีย ผู้ชายคนนั้นก็เลยเดือดร้อนเพราะปากตัวเองเหมือนกับคำกล่าวที่ว่าปลาหมอตายเพราะปากนั่นเอง

นายพรานเป็นดี

นิทานมหัศจรรย์
กาลครั้งหนึ่ง มีนายพรานผู้หนึ่งเป็นคนยากจนเข็ญใจ อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กในป่าแห่งหนึ่งกับเมียของตน นายพรานนั้นเป็นคนใจดีมาก โอบอ้อมอารีแก่เพื่อนบ้าน หาเนื้อมาได้ เมื่อใดไม่ว่าได้มากได้น้อย ก็ไม่กินเพียงคนเดียว เที่ยวไปเรียกชาวบ้านทั้งหลายให้มาแบ่ง เอาเนื้อไปกินคนชิ้นสองชิ้น เมื่อสามีทำอย่างนี้บ่อยๆ เมียมันก็เกิดเคืองใจแล้วต่อว่าผัวของตนว่า “สูเป็นคนง่าว(โง่) เป็นคนทุกข์คนจนแท้ๆ หาเช้ากินค่ำได้มาก็บ่เอาเก็บไว้ เอาแจกหื้อคนอื่นหมด เมื่อไหร่จะมั่งจะมีกับเขาซักที คนอื่นเขาได้อะไรมาเขาก็เอาตากไว้ รุ่งขึ้นก็เอาไปขาย ไม่มีใครโง่เหมือนสูซักคน สูเป็นอย่างนี้ก็ไม่ต้องอยู่ด้วยกันอีกต่อไปแล้ว” ฝ่ายนายพรานผู้เป็นผัวก็ตอบว่า “ทำไมถึงพูดอย่างนั้นล่ะ ข้าหาเนื้อมาได้ก็ตากไว้นั่นยังไงเล่า อย่าพูดอย่างนี้อีกนะ” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นายพรานก็ทำเช่นเดิมอีกโดยไม่ฟังหรือเชื่อตามคำทัดทานของเมีย เมียจะว่าอย่างใดก็ไม่ฟัง ไม่ใช่แต่เนื้ออย่างเดียว สิ่งของอื่นนายพรานก็แบ่งปันให้ ชาวบ้าน ชาวบ้านทั้งตำบลก็มีใจรักใคร่นายพราน นับถือนายพรานคนนี้ ไม่ว่านายพรานจะมีธุระอะไรที่ลำบากก็เข้ามาช่วย พอมาถึงถ้านายพรานทำอะไรเขาก็เข้ามาช่วยทำการทำงาน แต่เมียมันไม่ชอบ เพราะว่านายพรานไม่เอาใจใส่เมียเลย เอาใจใส่แต่ชาวบ้านคนอื่น นานเข้าข่าวก็ไปถึงหูพระยาเจ้าเมือง เหล่าเสนาอามาตย์ก็ตีฆ้องร้องป่าว หาคนจะมาปกครองหมู่บ้านนี้ให้มาสมัคร ฝ่ายชาวบ้านเขียนคำร้องทั้งหญิงชายแก่หนุ่ม ก็พากันเลือกเอานายพรานใจดีคนนั้นให้เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน เมื่อพระยาเจ้าเมืองรู้ความดีของนายพรานคนนั้นแล้วก็นำเอาช้างม้าวัวควายไร่นาข้าทาสคนใช้ให้เป็นรางวัล ตั้งแต่นั้นมานายพรานก็ไม่ต้องออกไปล่าสัตว์ ล่าปลาอย่างแต่ก่อนแล้ว อยู่กับบ้านกินไม่หวาดไม่ไหว ฝ่ายเมียก็สำนึกได้แล้ว เพราะว่าบุญคุณอันนั้น ตั้งแต่นั้นมาเมียของนาย พรานไม่ทำตัวขี้เหนียวเหมือนเดิมอีก

พญาจงอาง

นิทานมหัศจรรย์
เรื่องมีอยู่ว่า สมัยก่อนนั้นมีหมู่บ้านอยู่หมู่หนึ่งตั้งอยู่เชิงเขาใกล้ชายป่า และยังมีครอบครัวอยู่ครอบครัวหนึ่ง อยู่ตวยกันสองคนผัวเมีย ก็ยังบ่มีลูกเตื้อ ผู้เป็นผัวชื่อว่าบ่าคำจะตึ ผู้เป็นเมียชื่อว่า นางยอดเฮือน เป็นคนฉลาดหลวกแหลมหนักเอาเบาสู้ วันหนึ่ง สองคนผัวเมียพากันไปไร่ ๆ ที่เยียะเป็นป่าอยู่เชิงเขาปู้นนา ทีนี้พอดีไปถึงกลางไร่ก็ไปปะใส่หมีแม่ลูกหน้อยตัวหนึ่ง โป้ดโท้ะตัวใบ้ตัวง่าว ปากแดงเหียปึ้งลึ้ง หมีมันหันสองคนผัวเมียมันก็งอมเข้าใส่ก่า โดดเข้าใส่สองคนผัวเมีย ผัวมันผ่อหันใส่หมีก็ฮ้องว่า “ หมี ๆ สูหนีสู “ ปู่คำนั้นเขเมียมันหนีนา ตัวมันกลับหลังได้ก็วิ่งแนบไปแผวบ้านจี้บน่าก่า ย่ายอดเฮือนเมื่อรู้สึกตัวว่าเจอใส่หมี จะหนีก็หนีบ่ทัน กึ้ดใจได้ก็กอดมีดโต้เหน็บเอวไว้ เข้าต่อสู้กับหมีทันที ย่ายอดเฮือนนี้เป็นคนใจเด็ดอยู่แล้วน่อ เข้าฟันหมีบึกๆ หมีกับคนต่อสู้กันจ้าดเมินจนหมีหน้าหวะหน้าหวาก เนื้อตัวหมีมีก้ารอยมีดหมดก่าน่อ หมีซ้ำมีลูกหน้อยหนสุดท้ายหมีก็ตายก่า พอหมีตายย่ายอดเฮือนก็สลบไปเลย ฝ่ายปู่คำล่นไปแผวบ้านก็ขะใจ๋เยียะกินอาบน้ำอาบหนองกินข้าวแลง แล้วฟั่งเข้านอนเอาผ้ากุ้มก่าลุมกลัวผีย่ายอดเฮือนมาหลอกอี้เต๊อะนา นึกแล้วจาใดๆ ย่ายอดเฮือนต้องตายแน่ๆ ตายเพราะหมีขบนา ทีนี้พอดึกตื่นกึ่งคืนมาย่ายอดเฮือนก็ฟื้นจากสลบนั้นมา เมื่อกลับมาบ้าน มาถึงบ้านก็ฮ้อง “อ้ายคำๆๆ“ ปู่คำได้ยินย่ายอดเฮือนฮ้องหยั่งอั้นก็นึกว่าผีย่ายอดเฮือนมาหลอกก่า มันก็เอิ้นออกไปว่า “เออ ผีก็อยู่ปอผีเน่อคนก็อยู่ปอคน จะไปมาหลอกมาหลอนกันเน่อ ไปหาของกินของทานเหีย“ ย่ายอดเฮือนก็ว่า “อ้ายคำ เฮาบ่ตายเตื้อนา เฮาฆ่าหนีตายแท้นา“ ปู่คำก็ว่า “เออ บ่เชื่อ มีอย่างที่ไหน แม่ญิงฆ่าหมีตาย ไปเต๊อะไปหาของกินของทานเหีย “กำนี้ก่าย่ายอดเฮือนก็ว่า “เฮาบ่ใช่ตายเตื้อแท้นาพี่คำ ใจลุกมานี้ก่อน“ ปู่คำก็อดบ่ได้ก็ลุกขึ้นมาตามไฟ ตามไฟขึ้นมาก็ว่า “เอ้อ สูบ่ตายแท้กานี่“ “ เฮาบ่ตายแท้นา เฮาฆ่าหมีตาย “ กำนี้เยียะจาใดอู้กันไปก็อู้กันมาก็พากันเข้านอนน่อ ลุกมาเมื่อเช้าก็ปรึกษาหารือกันนิ ว่าเฮานี้จำเป็นต้องไปบอกพญาเจ้าเมืองรู้ “ เวลาเข้าไปสูจะไปว่าข้าฆ่านา จะไปว่าฆ่าหมีมันบ่ดีนา ฆ่าหมีก็ขี้หมา “ ย่ายอดเฮือนก็ว่า “เอ่อ ข้าบ่ว่า“ ทีนี้ก็พากันไป หามหมีตายไปตวยลูนิ หามหมีตายนั้นนาเข้าไปหาพระยาเจ้าเมือง พระยาเจ้าเมืองหันอย่างอั้นก็ชื่นชมยินดีว่าบ่าคำจะตึเป็นคนเก่งกล้าสามารถฆ่าหมีได้ ก็หื้อแต่งตั้งบ่าคำจะตึเป็นพระยาหมีหาญ หรือพระยาหาญหมี คำจะตึได้เป็นพระยาน่อแล้วก็มาบ้านก็มาอยู่หั้นหว่างหนึ่งแล้วก็มีพระยางูจงอางตัวหนึ่ง ตัวจ้าดใหญ่ฮะน่อ ตัวเท่าแขนนิ เลื้อยเข้าไปในคุ้มในวัง เลื้อยไปเลื้อยมาก็ไปตกใส่ปากน้ำบ่ออี้ลู่ น้ำบ่อในคุ้มพระยาเจ้าเมืองนั้นนา น้ำบ่อนั้นก็ลึกพ่อง ทีนี้คนใช้พระยาเจ้าเมืองไปหันใส่ เลยไปบอกหื้อพระยาเจ้าเมือง พระยาเจ้าเมืองไปผ่อ ตัวบ่าเล่น ก็เลยไปบอกหื้อเสนาอามาตย์ไปบอกหื้อพระยาหาญหมี พระยาหาญหมีรู้คำสั่งอย่างอั้นก็ตกอกตกใจว่ากำนี้กูตึงจะตายแน่ตายย้อนงูฉกนั้นหละ ปิ๊กเมือบ้านไปปรึกษากับย่ายอดเฮือนน่อ ย่ายอดเฮือนก็ว่า “เออ บ่ถ้าตกใจกลัวหยัง เอ้านี่ฝักมีด เอามีดนี้มัดแน่นๆ“ บอกก็บ่บอกบ่ดายย่ายอดเฮือนก็เอาเชือกมัดฝักมีด จัดการเอามีดใส่น่อ ถ้าจะมัดบ่ช่างละก้าหย่อนลงมาตุ้ยลุ้ย เอาเชือกมัดฝักมีดเรียบร้อยแล้วก็ไปหยื้อผ่อน้ำบ่อ โป้ดโท ธัมโม สังโฆ ปอจะช็อคตายอยู่หั้นแล้ว ตัวใบ้ตัวง่าวกองอยู่หั้น คำจะตึก็บ่ช่างจะเยียะจาใด ก็แวดไปแวดมาบ่ช่างเยียะใด แวดเข้าๆ ก็ยอบนั่งหั้นน่อ ยอบนั่งฝักมีดก็ลงก่อนคำจะตึก็เอาก้นนั่งลงยอกฝักมีด พุ่งจะงวยลงน้ำบ่อปุ้นก่า ตกลงใส่กองงูดังต้าก มือมันก็จ้าดเวยน่อ เมื่อมันตกลงใส่กองงู มือมันก็เปี๋ยคองู มันก็ฟั่งบอกหื้อคนตางบนขะใจ๋เอาเชือกมา คนตางบนก็เอาเชือกหย่อนลงไป มันก็เอาเชือกมัดคองู หื้อคนตางบนชักขึ้นนอ คนตางบนซักงูขึ้นไปก็พากันบุบจนงูนั้นตาย คำจะตึก็ขึ้นมาจากน้ำบ่อโดยบ่เป็นอันตรายหยังสักอย่าง พระยาเจ้าเมืองก็ชอบอกชอบใจ เลยแต่งตั้งหื้อคำจะตึหรือพระยาหาญหมีนั้นนาเป็นพระยาจงอางแถมตำแหน่งหนึ่ง คำจะตึเลยมีตำแหน่งสองอย่างเลย คือ พระยาหาญหมี และพระยาจงอาง พระยาเจ้าเมืองก็บำเหน็จบำนาญหื้อเป็นแก้วแหวนเงินคำ ช้างม้าวัวควาย เมื่อคำจะตึได้เงินนักอย่างอั้นก็เอาเมือบ้านไปอยู่ตวยกันสองคนผัวเมียก็มีความสุขตลอดไป

พรานป่า

นิทานมหัศจรรย์
นายพรานไปแอ่วป่า ก็ไปปะใส่เหว ส่องลงไปหันคนๆ หนึ่ง เสือตัวหนึ่ง งูตัวหนึ่ง อี่วอกตัวหนึ่งอยู่ในบ่อ พรานก็ เอ้...จะยะอย่างใดหา ก็ตัดเครือเขาหลวงจ้วงลงในหลุม อี่วอกเอาก่อน เอาโจ้งลงไปแหม กำนั้นกะเสือแล้วก็งู โจ้งลงถ้วนสี่คนออกมา มันตึงแค้นใจว่ากูเป็นคน บ่เอากูออกก่อน ไปเอาสัตว์ออกก่อน มันก็ตึงอาฆาตไว้หั้นละ แล้วต่างคนต่างก็ไปอยู่ที่กินไผที่กินมัน พรานก็ไปอยู่ที่อยู่มันเหีย เสือก็ไปอยู่ที่อยู่มันเหีย งูก็ไปอยู่ที่อยู่งู ได้เมินนักแก พรานก็มีใจใคร่ไปแอ่วหา ไปก็ไปปะงูก่อน งูก็ว่า เอ้อ บ่มีหยังจะมาตอบแทนคุณ บ่ได้ไปไหนสักที่ เอาขุมคำหั้นเต๊อะ บ่ได้ไปไหน เมาเฝ้าขุมคำ พรานก็ว่า เอ่อไว้หั้นก่อน ไปแหม ไปปะใส่อี่วอก มันก็เอาเผิ้งมาหื้อถวายหื้อพราน แล้วก็จากนั้นก็ไปแถว ไปปะใส่เสือ เสือตัวนั้นก็กินคนเลิงแท้ๆ กินแผวลูกพญาปู้น มันหันพรานไปแอ่วหามัน มันก็บ่มีอะหยังจะตอบแทนคุณก็เอาสายคอหื้อ สายคอนั้นเป็นสายคอพญา มันก็เอา แล้วก็ไปแอ่วหาคนแหม เมื่อหัวทีมันจะเอาหื้อคน แล้วคนผู้นั้นก็ว่าเป็นสายคอลูกสาวพญา “เอ่อ อยู่นี่ก่อนเน่อ ข้าจะไปนี่กำเดียว” หล้อมแหล้มก้อมแก้มไปบอกหื้อพญา พญาก็เอาลูกน้องมามัดเอา มัดเอาไปตึงเมื่อคืน ไปแล้วจะไปออกประตูไหน เปิ้นก็บ่หื้อออก จะไปออกประตูวันตกเปิ้นก็บ่หื้อออก จะไปออกประตูวันออกเปิ้นก็บ่หื้อออก ประตูใต้ประตูเหนือเปิ้นตึงบ่หื้อออก ละก็อันนิทานเปิ้นนัก ที่เปิ้นเล่าที่ประตูนา ประตูเล่านิทานหื้อฟัง ละก็อยู่หั้นจนถึงเมื่อเช้า พญาฮ้องไปถาม ฮ้องไปอู้ไปถามมันก็อู้ตั้งเค้าแผวปลาย หื้อว่าเดิมทีมันเป็นอย่างอั้นๆ เมื่อลูนมาก็ผิดที่ไอ่ตัวนั้น ไอ่ตัวที่ตกหลุมมา พญามัดมันเอาไปใส่คอกเหีย ละก็พรานคนนั้นก็พาหมู่เสนาอามาตย์ไปเอาขุมคำแหม เอาขุมคำมาก็เอามาปันเป็นสามส่วน พญาส่วนหนึ่ง มันส่วนหนึ่ง หื้อเสนาทั้งหลายเหียส่วนหนึ่ง พญาก็แปงหอปราสาทหื้อได้อยู่กับพญาเหีย

หงส์หิน

นิทานมหัศจรรย์
เจ้าพญามีเมียสองคน เมียหลวงท้องและคลอดลูก นางเมียน้อยก็แอบเอาหมามาเปลี่ยน เอาเด็กน้อยโยนลงจากปราสาท พญาอินทร์ก็มารับเอาเด็กน้อยไปเลี้ยง นางเมียหลวงก็ร้องไห้เสียใจ เจ้าพญาก็ว่าขึด ก็ถูกไล่ออกจากบ้านจากเมือง ไปอยู่กับ ๒ ตายาย เลี้ยงลูกหมาไปเพราะคิดว่าเป็นลูกของตนเอาข้าวเอาน้ำให้กิน เมื่อเติบใหญ่ขึ้นมาเจ้าหงส์หินที่พญาอินทร์เอาไปเลี้ยงก็ถามหาแม่ จะไปอยู่กับแม่ พญาอินทร์เล่าความจริงให้ฟัง และส่งมาหาแม่ที่กระท่อมน้อยของ ๒ ตายาย นางวิมาลาเห็นก็ไม่รู้จัก ไม่รู้ว่าลูกเป็นตน นางก็คิดว่าลูกตนเป็นหมา เจ้าก็เล่าให้แม่ฟังหมด นางก็ไม่เชื่อว่าไม่ใช่่ เขาก็ตั้งสัจจาธิษฐานว่า ถ้าเป็นแม่ขอให้น้ำนมพุ่งมาที่ปาก น้ำนมก็พุ่งมาเข้าปากเจ้าหงส์หิน นางวิมาลาก็ดีใจ ก็รับต้อนเอา ส่วนลูกหมานั้น เจ้าหงส์หินก็ว่า “แม่เคยให้มันกินอย่างใดก็หื้อกินอย่างนั้น แม่อย่าให้นอนฝุ่นนอนดิน ทำที่อยู่ที่นอนให้ที่หัวบันได อย่าละทิ้งขว้างมันนะ “ อยู่นานไปเจ้าหงส์หินก็อยากที่จะเข้าไปเที่ยวในเมือง จึงบอกแม่ว่า “ฮ้า แม่ จะไปเที่ยวในรั้วในเวียงสักหน่อยนะ “ “ห้ามไปนะ เขาคิดที่จะฆ่าลูกตั้งแต่อยู่ในท้องนะ" “ห้ามสองสามครั้งก็ว่าจะไป ข้าไม่กลัวอะไรข้ามีดาบศรีกันไชยกับหงส์หิน" เจ้าหงส์หินก็ไปที่เมือง ไปเจอเด็กรุ่นเดียวกันหกคนเล่นมะนินคำก็เข้าไปดู ใคร่เล่นแต่ว่าไม่มีเหมือนคนอื่น วันค่ำ มาก็มาว่าหื้อแม่ “แม่ ขอแม่เซาะมะนินคำหื้อลูกสักแก่น ลูกจะไปต่อตั้งเอามา” แม่ก็ว่า “สักเท่าขี้เล็บจักมาหมายจำ สายคอคำแม่ยังหาบ่ได้ เปิ้นเป็นลูกเศรษฐี ลูกจะไปเอี่ยงเปิ้น “ โท้ มันก็ใคร่ไปแหล่ มันละอ่อนมอกร้ายล่อ แม่มันไปเก็บมะนินแดงที่ไหนบ่รู้มาหื้อแก่นหนึ่ง มันก็ฟั่งเอาใส่ถงไว้ วันพูกจะเอาอันนั้นไปขว้างของเปิ้น มันก็ไปแหล่บ่สามบ่สี่ไปจกมะนินแดงมันไปหวดมะนินคำเปิ้นถูก หมู่หกคนเก็บไปขว้างว่า “อันหนึ่งมะบ้านินแดง อันหนึ่งคำเปิ้นแป๋ง บ่ผ่อกอยแยง คนนี้ผู้บ้า กอนตัวได้สินขาดทุนข้า จะเอาหยังมาเตี่ยมนั้น “ เปิ้นก็เก็บไปขว้างเสีย มันก็ว่า “ข้าขอเอาตัวข้าบ่อง ข้าขอมะนินคำสูแก่นหนึ่งกอนว่าข้าได้มะนิน ข้าจะเอามะนินแทนคืนกอนข้าบ่ได้มะนิน เอาข้าไปเป็นข้าใช้คนใช้ ตักน้ำอาบหาบน้ำซ่วยสูเหีย” มันว่าอี้หื้อเปิ้นแหล่ เปิ้นก็เอามะนินหื้อแก่น โทะ ขว้างกำใดก็ เพียะ ก็หองคำของเปิ้นล่อ แม่เปิ้นเป็นเมียหลวง ของเปิ้นแคนนักก่า ขว้างหมดตกหมดเสี้ยงแล้ว บ่มีสังจะเล่นต่อ มันก็เอามะนินแทนคืนเหีย ค่ำมาก็ว่า “ข้าจะเมือละ” เขาก็บ่รู้ว่าเป็นลูกเมียหลวง บ่หันสักเตื้อ พญาอินทร์เลี้ยง “ข้าจะเมือละ แม่ข้าจะกองหา แม่ข้าจะไห้ “ หมู่หกคนนั้นก็ว่า “วันนี้เจ็ดวันแล้ว ยักษ์จะลงเฝ้าต้นตาลปากประตูเมือง หน้อยก็ช่าง ใหญ่ก็ช่าง มันบ่ไว้ชีวิตสักคน บ่ถ้าไป นอนกับหมู่ตูนี่ วันพูกค่อยเมือ “ “บ่กลัว ข้าบ่กลัว ช้างใหญ่แท้ยังลงกับหมอ ขอเล่มเดียวเถี่ยนเท่ากิ่งก้อย พริกหลวงพันห้าร้อยบ่เท่าพริกหน้อยฟายมือ “ มันว่าหื้อไอ่หมู่หกคนนั้นนา หมู่นั้นก็ว่า “โอ มันบ่ไว้ชีวิตหื้อนา” มันก็บ่ฟัง ลู่เมืออยู่ ซักพ่องหมู่ทั้งหลายก็ว่า “ว่าบ่เป็น ปากมันดูร้าย ใจแกร่งกล้าเต็มที กึ๊ดฮอดล่วงแล้วเล่นมะนินจี๋ หลายนาทีสู้มันบ่ได้ ความรู้บ่ดี ความรู้เต็มไส้ ไผหยั่งในมันบ่ตึ๊ก ตายยังหื้อรู้วันพูกนี้ มันตึงจะมา มะนินคำมันก็เอาไปหมดแล้วความรู้มันเราหยั่งบ่ตึ๊ก “ ตกวันพูก โอ๊ ไปอยู่ปางท่าก๊อกง็อกแล้วฮ้องเขาแล้วกำนั้น “มา มาเวย ๆ อ้ายจายใหญ่ ฆ่ายักษ์ยังบ่ตาย ปิ๊กป้อกป้ายคืนมา “ ลงมาถาม บ่เล่นสัง มาถาม “เมือทางใด ยักษ์บ่กิน มันบ่ไว้ชีวิตหื้อสักคน” “เออ ข้าฆ่าตายแล้ว ยักษ์นะ” “โฮะ บ่ใช่ก้า ได้หลายสิบเจ้นคนแล้วไผฆ่าบ่ได้ ไป ไปกอย” มันก็พากันไปกอย ยักษ์ตายหั้น น้องหล้าเปิ้นก็เอาปืนเล็งเข้า ก็บ่ว่าอย่างใด บ่ดิ้นบ่ท้วง เยียะอย่างใดก็บ่ดิ้นบ่ท้วง มะยากเจ้าเข้าไปเอาตีนเขี่ยว่า “ตายแล้ว เจ้าฆ่ายักษ์ตายแล้ว จะไปว่าเจ้าฆ่าเน้อ หื้อว่าหมู่ตูหกคนฆ่า ตูจะเอาคำจ้างคนพันคนพัน” ก็เอาคำหื้อคนพัน “จะไปว่าเจ้าฆ่าเน่อ หื้อว่าหมู่ตูหกคนฆ่า จะไปอู้หื้อไผ” มันก็บ่อู้ มันก็ได้คำหกพันนั้นแล้วลู่ มันก็บ่อู้หื้อไผ หมู่นั้นก็เอาเลือดยักษ์มาทาตัว เมือแหล่ เมืออวดหื้อบ้านเมือง ไปอวดหื้อพ่อหื้อแม่ชาวบ้านชาวเมือง” “ยักษ์ได้หลายเจ็ดเจ้นคนแล้วบ่ตาย ตูเอาตายแล้ว” มันว่า พ่อก็กวดกัน ร่อนหนังสือบ้านหนังสือเมืองแม่เฒ่าไปตกโหล่งเมืองยักษ์ ยักษ์ลักไปได้ซาวปีปลายแล้ว ยังบ่มีไผไปเอา ลูกหมู่นี้ฆ่ายักษ์ตาย แพ้ยักษ์หมดจะหื้อไปตวยเอาแม่เฒ่าเมืองยักษ์ อู้กันแหล่ หมู่หกคน ก็อู้กันเมื่อวันแล้ว “เอ เราจะเยียะอย่างใด เออ เราไปขออ้ายชายใหญ่ยักษ์นั้นละ” “มันจะบ่ไปหุ แม่มันบ่หื้อไปหุ” “ไปขอ ปากเราก็ขอ มือเราก็ไหว้ มันหล้างหันค่าคำใบ้แผ่นปั๊บ ถ้าแล้วหื้อหกพันจ้างฆ่ายักษ์คำยังบ่พอดี ถ้านี้คำแดงค่าแพงบ่หน้อย ปากเราก็ขอ มือเราก็ไหว้” “กลัวแม่มันบ่หื้อไปนา วันพูกเราลองไปถาม มันตึงจะมาปางหั้น” ลุกมา ก็ก๊อกง็อกหั้นแล้ว ก็ถาม “ตูขอจ้างไปเมืองยักษ์แหมกำ จะหื้อแหมหกพัน” “เอ ข้าบ่เอาเตื้อ ข้ากลัวแม่ข้าบ่หื้อไป” เขาบ่รู้จักว่าเป็นลูกนางวิมาลานะ พญาอินทร์เลี้ยง “กลัวแม่ข้าบ่หื้อไป” ก็ไหว้ ขอก็ขอ นั้นก็ว่า “ข้าบ่เอาเตื้อ จะไปถามแม่ข้าก่อน” กอนมันบ่ไป มันจะได้เมียหว่า มันลุกนี่ไปเมืองยักษ์มันจะได้เมียสามคนอยู่สู่ ได้ไปหนทางนะ เมียเปิ้นมีปุ๊นกรรมเวรเปิ้นมีทางปุ๊น ไปหาแม่ก็บอกแม่ว่า “แม่ เขาขอจ้างไปเมืองยักษ์ เขาจะหื้อแหมหกพัน” “ แม่บ่หื้อไป แม่บ่หันสัง เงินคำแต๊ตั๊กแม่รักเท่าลูกหล้าแม่คนเดียว เป่อเล้อเป่อ เต๋อตัวศัตรูเปิ้นพองใคร่ฆ่าเท่าเมื่อมาดาอยู่ท้อง แม่บ่หื้อไป แม่บ่หื้อไป” พ่อเทวดาเปิ้นก็จำใจ กรรมเวรมันตึงมีทางนั้นล่อ จำใจเอาหมอโหรามาลง “เจ้านี้ร้ายก่อนดีลูนไปนี่จะได้โชคได้ลาภกำปีกคืนเมืองยักษ์มา จะมามรณาแหมกำหนึ่ง เปิ้นจะฆ่ามัน” มันก็ไปแหล่กำนั้น แม่มันก็บ่ช่างห้าม ไปก็ไปก็บอกหื้อหมู่นั้น “วันพูกจะไปแป๋งตูบแป๋งปางอยู่ผากน้ำแม่ทะเลเรือข้ามเปิ้นไปทางบน เปิ้นบ่ลงทางน้ำ สูไปแป๋งตูบปางท่าวันพูกข้าจะไปละ” หมู่นั้นมันข้ามไปบ่ได้ บ่เหลืออู้กันเมื่อคืน บ่ได้มาอู้เจ้าเตื้อ นอนงีบหลับไปร้องกันสนั่นปั่นปื้นยักษ์ไล่ บ่ทันไปเตื้อ มันก็ไปเอิ้น ขี่หงส์หินมันซวาดทางบน เอิ้นว่า “ฮอดเจ้นข้าบ่มาจะไปเมือเน่อ” โท้ ไหว้ขึ้นซ้องเหีย หกคนนั้นนา จ่มว่า “โอ คนอย่างเรานะ มันเป็นมนุษย์จุ่มใต้ เราเป็นคนรวยทาสใช้มัน” ก็กำเปิ้นปิ๊ก คืนมาว่าบุบเปิ้นแหมอยู่ ไหว้ตวยซ้องเหีย หงส์หินก็ไปแหล่ พอเข้าดงคนเดียวก็ฮ่ำไฮว่า นกจูต้นพ่อเฮยจับเฟยไม้ร้อง เสียงคู่ก้องเหมือนคน ว่าเจ้าเฮยเจ้า เจ้าเข้าไพรสณฑ์ จะไปปะจวบจน ใส่เมียใส่โชคใส่ชัยอยู่เหลียวไปผ่อ เป็นว่านกฟู่ได้ สมัยก่อนนกก็ปากคำคนพระเจ้าก็ปากคำคน เปิ้นสร้างมาหื้อคนบ่าเดี่ยวหันพระเจ้าชุดนั้นตายแล้วละ เจ้าก็เข้าไปติก ๆ ขี่หงส์ไป ไปหันคอกเป็นปั้วะเป็นปวงนักล้ำ ก็ว่า “สลิดสะลักวิธูรกาหลง หอมทั่วดงพี่เก็บมาส้อม เอาห้อยคอหงส์วาดวงได้อ้อม แขนนารีวันนี้” ก็ได้ไปห้อยแท้ ไปปะเมียหลวงวันนี้ลู่ เข้าไปหาเมียหลวง ไปหาผาสาท เมียหลวงก็ฟั่งรับฟั่งต้อนเมียเปิ้นนะ ว่าวันนั้นนะ ผียักษ์ปอยหลวงผีเย็นยักษ์จูงมาเข้า เข้ามาผาสาทนี่ มาพักยั้งนี่ นี่ว่าสะป๊ะสะเป้ด ฮ่ำฮิฮ่ำไฮรักล้ำ อู้กันแล้วก็ฮ้องพ่อลุกผาสาทปุ๊นมา พ่อมาหันก็รักล้ำแหม เปิ้นเป็นหน่อเปิ้นเป็นเจ้า พ่อก็รักล้ำ มัดมือเอาเป็นลูกจาย มัดตีนมัดมือเอาเป็นลูกเป็นเต้า วันพูกมันจะไปละ แจ้งมามันก็ขอล่อ ขอลาเมียมันนะว่า “พี่ขอลาน้องไปตวยเอาแม่เฒ่าเมืองยักษ์” เมียก็ว่าหื้อสะป๊ะสะเป้ดแหล่ “เออ สมว่าเขาว่าเป็นเมียพลางห่อเข้า พระองค์เราบ่รัก” “พี่รัก พี่ไปพี่จะมารับเอา “ ก็ขอไปตวย “เอ้อ เมืองยักษ์เปิ้นบ่หื้อไป” ขอลาเมียแล้วก็ว่าแหมว่า “พี่นี้อาชญาเต๋ง ขอน้องจุ่งร่ำเปิงถี่ถ้อย การจำเป็นใช่การเล็กหน้อยเหมือนขึ้นดอยชันลากล้อ ขอลาไปก่อนพี่จะมารับเอา” มันก็บ่แล้วใจ ฮ้องพ่อมันมา “เจ้าขอลาไปตวยเอาแม่เฒ่าเมืองยักษ์ ลูกขอไปตวย” “เอ้อ เมืองยักษ์แม่ญิงบ่ไป เปิ้นไปรบไปพุ่งกัน บ่ไปละ หื้อเจ้ามารับเอา” พ่อก็ว่าหื้อลูกจายแหล่ “ลูกรักพ่อนี้เหมือนดั่งดวงแสง ซ้ำได้คำแดงมาแป๋งขอดห้าง หื้อกึ้ดไปยาวสาวไปกว้าง จะไปทิ้งขว้างตาย เจ้าไปแล้วนี่ ขอหื้อไปดีมาดี โชคดี” เคราะห์นามตามใต้หยังสะป๊ะมันปันหื้อลูกจายมันละ ขี่หงส์แวดพ่อมันสามรอบ ก็ไปแล้ว ไปปะศรีจันตาแหล่กำนั้น ขึ้นไปแหมก็รักล้ำแหมเมาะ ฟู่จะเอานั้นนะจะเอาละ รักล้ำว่าพี่จูงมา ฮ้องพ่อลงมา พ่อลงมาก็มาหัน ก็รักล้ำแหมละมัดตีนมัดมือเอาหั้นแหม อยู่ได้คืนเดียวต๊ะอั้นนะ คนไหนนะ วันพูกก็ลาเมียแถมละ ก็ลาเมียมันว่า “พี่ขอลาน้องไปก่อน พี่จะไปตวยเอาแม่เฒ่าเมืองยักษ์” เมียมันก็ว่าแหมว่า “สมว่าเปิ้นว่าเป็นเมียพลางห่อเข้า พระองค์เรา ว่าอย่างใดก็บ่ฟัง ว่าหื้อเมียว่าเหมือนกันกับเรือ กันไหลล่องใต้ แต๋มบ่พายตวยถ่อค้ำ มีที่ไหนเรือจักขัดน้ำ ย่อมไหลล่องใต้ไปเองนี้การรีบร้อน ย้อนอาชญาเต๋ง ขอน้องจุ่งเล็งร่ำเปิงถี่ถ้อย” จะไปตวยเอาแม่เฒ่าเมืองยักษ์ บอกหื้อพ่อมันลงมา มาก็ปันพรหื้อแกม ไปแหม ไปปะเมียแหม ไปหาเมียปลายศรีจุลกันธา อยู่ถัดเมืองยักษ์หั้นละ เอาหั้นแหม ได้แล้วก็อย่างอั้นนะ ฮ้องพ่อมันมามัดมือมัดตีน ก็ไปแหล่กำนั้นจะไปปะแม่เฒ่าละ มันจะเหมือนแม่อุ๊ยบ่าเดี่ยวนี้ละ เอาไม้เท้าเป็นแรง นั่งอยู่คนเดียว เป็นว่ายักษ์นี่มันเซาะหากินเมื่อวันลู้ ไปหมดตึงหน้อยตึงใหญ่ ไปเซาะกิน ไปหันแม่เฒ่านั่งจ็อกป็อก ก็เอิ้นแหล่ “บ้านเหล่านี้ตูบตั้งเป็นสาย บ่มีป้อจาย ไปไหนหมดเสี้ยง มีเท่าแม่ยายมานั่งหมองเหมี้ยง อยู่คนเดียวป่าไม้” “เฒ่าแก่แล้วหันพระองค์หน่อไท้ สาฮอดสู้ยินดีแม่มาอยู่ป่าไม้ได้พอซาวปี บ่หันหน้าลูกหน้าหาน บ่หันไผสักคน หลานมาเยียะหยังนี่ ยักษ์ไปเซาะกินเมื่อวี่เมื่อวันเขาไปหมด กอนเขาได้จิ๊นได้ปลามาก็มาสู่กันกินตึงดิบตึงแดง ตึงหน้อยตึงใหญ่ แม่ก็จนใจไปขอมาแป๋งส้ม กินไปพลางทุ่นท้อง “ โอ้ มากึ้ดอินดูแม่เฒ่าแหมละ “กอนเจ้าจะอยู่นี่เมินบ่ได้ กำเดียวยักษ์จะมาปะ ยักษ์จะเอากิน เจ้าจะบ่ได้ปิ๊ก คืนเมือ “ มันก็บอกหื้อแหล่กำนั้น “ปิตาพ่อใช้ เร็วรีบได้มาเอา แม่เฒ่าเดี๋ยวนี้อย่าหม่นหมองเหงา หลานจะเอาเมือเมืองละ” “เฮ้อ แม่เมือบ่ได้ อยู่ตึงวันไม้เท้าเป็นแรงทุกวันจั้น ๆ ซ้ำเป็นอรัญป่าเลิ้ก ที่ไหนจักถึงบ้านเมืองรอดตึ๊ก ลุดแต่เจ้าเอาไป” หองมันมีหงส์หินกับดาบศรีกันไชย มันเอาซ่อนแล้วล่อ มันก็บอกแม่เฒ่าแหล่ “จะเอาแม่เฒ่าขี่หงส์หิน” “อื่อ ขะใจ๋ยักษ์จะมาทัน” มันก็เก็บครัวแม่เฒ่า เก็บอะหยัง บุบหม้อน้ำหม้อหนองยักษ์แตกหมดถีบหอถีบเรือนเปิ้น เอาแม่เฒ่าเหาะแหล่กำนั้น ไปแผวข่วงน้ำหั้น ก็ว่าหื้อเมียสามคนว่า “อยู่นี่ท่าพี่ ไปผากปุ๊นบ่ได้ เขาจะลู่ เขาหลาย อยู่ฝั่งนี้ท่าพี่ พี่จะเอาแม่เฒ่าไปส่งฝ่ายปุ๊น หื้อเขาเอาแม่เฒ่าเมือแล้ว จะปิ๊กมาเอา” ก็ละสามคนอยู่หั้นท่า เอาแม่เฒ่าไปส่ง พ่องก็เก็บชิ้นช้างชิ้นม้า พ่องก็บุบเจ้าตายหันแหล่ โอ้ สามคนก็อยู่กองว่า พากันไห้ว่า “โอ เจ้า นับสามโมงฆ้อง เหงี่ยงค่อนป๋าย ๆ ฤาจอมองค์จายเลยย้ายแหล่งหล้า ไปหาพ่อหาแม่เปิ้นแล้ว มาละเราทั้งสาม หมู่จุมตูข้า สามเราราพี่น้อง จะเยียะใด” พญาอินทร์ยกผาสาทข้ามแหล่กำนั้นไป หองผัวก็ตายกึ่งดึ่งหั้น หมู่ช้างหมู่ม้าเปิ้นก็เอาแม่เฒ่าไปแล้วเข้าไปแหล่ เข้าไปหาเข้าไปไห้หวันกันหั้น “จุลกันธานาฏน้องหอบหัตถา ศรีจันตากอดพระบาทเจ้า มุขวดีหอบองค์หน่อเหน้ากับอกเราแม่ไท้ว่าโอ๋ยทุกขัง ลุกดงป่าไม้ หล่ายแวดอ้อมตวยมา หมายเปิ้งบาทท้าวเป็นสามีก๋า มามรณาเมือมรณ์ม้วยหน้า” ไห้กอดกันฮ่ำฮิฮ่ำไฮ ก็ว่าจะเผาหื้อเสี้ยงซากแล้วจะวิ่งเข้าไฟ จะวิ่งเข้าอัคคีก็ตายตวยกัน พญาอินทร์นะลองใจเมียสามคนนะก่า แต่งตัวเข้ามาเหมือนเจ้านะงามอย่างอั้น หนุ่มน้อยมอกอั้น ว่าหื้อนางสามคน “เอ้อ ตัดใจเสียหื้อเสี้ยงที่รส กรรมเปิ้นหล้างมาทัน เมือตวยพี่เต๊อะ เมืออยู่กับกัน พี่หันจักดีเหลือที่มาไห้ น้องจะเอาลาภผลสิ่ง ใดก็ได้ มหาพารามั่งเต๊าเงินคำมีป่าเลอะป่าเต๋อ” “บ่เอา บ่ใคร่ได้เงิน บ่ใคร่ได้คำ รักเท่าผัวคนเดียว จะเผาแล้วจะวิ่งเข้าอัคคีละ” ขออย่างใดก็บ่ได้ เลยปิ๊กเข้ามาแหม เป็นยักษ์เข้ามาแหมละ มาขอกิน “ขอกินซากศพ ซากเจ้าเขาเต๊อะ” “บ่หื้อ กอนเจ้าจะกินผัวรักแห่งน้อง แหนมกินตูข้าสามคน” แล้วก็เอาตัวเข้าจู “กำลังเลือดร้อน เลือดแดงหวานๆ ส่วนเจ้ากุมารตายพอกระด้างแล้ว ข้าจะเผา” ขออย่างใดก็บ่ได้ ปิ๊กออกไปเหีย ออกไปแล้ว กำนั้นพ่อพญาอินทร์ เปิ้นจะมาแหล่ จะมาเอาลูกเปิ้นคืนแหล่ หองเปิ้นส่องหันทั่วโลกลู่ลงมา ก๋ำน้ำต้นคนที ก๋ำยามา ไปเซาะยามา โท้ พากันไหว้นบไหว้น้อมพ่อพญาอินทร์นะ บ่รู้จักเตื้อพ่อพญาอินทร์เจ้าเปิ้นนา เผื่อเปิ้นสว่างแล้ว เปิ้นรู้เป็นพ่อเปิ้น เอายาใส่ปากหื้อ ว่าแล้วก็ใส่ปากหื้อ ลูบหัวลูบหน้า ตบหน้าตบตาหื้อแล้วก็ผะหลาดลุกนั่งจ็อกป็อก ไหว้นบแหล่สามคนเขา เจ้ามันรู้ว่าเป็นพญาอินทร์นะก็ว่า “ขอหื้อเมือแผวพาราแหล่งหล้า จักปิ๊กคืนมาน้อมนบ มาปู่จาคุณขอหื้อจวบพบ เมืองปู่เจ้ามีที่ไหนจา” พระยาอินทร์ก็บอกกำนั้นว่า “พ่อบ่ใช่คนลุ่มใต้ อยู่สวรรค์ชั้นฟ้า” ลูกเปิ้นรู้แล้ว ปันพรเจ็ดประการหื้อลูกสี่คน “ไปสุขสวัสดี ไปอยู่รักกันแปงกัน อยู่ดี ๆ บ่หื้อได้เจ็บได้เป็นอะสัง บ่ถ้าสมนาคุณ พ่อบ่ใช่คนลุ่มนี้” ลูกเปิ้นรู้แล้ว เป็นพ่อพญาอินทร์ ก็พากันเมือแหล่ไปแผวเรือนก็ขึ้นแหล่ ลูกไป๊สามคนก็ขึ้นเรือน แม่ผัวมาจุ๊กันหั้น อู้กันแหล่ แม่ผัวมันก็ออกมาถาม นางวิมาลานะ ออกมาถาม “ผู้ใดชื่อใดมาเป็นลูกเต้า แม่ใคร่ยินคำถี่ชัดมุขวดีบอกแหนถี่ชัด ว่าต่างคนต่างบ้านต่างเมืองเมื่อเจ้าลูกรัก แม่เข้าไพรสณฑ์ ไปปะจวบโดนใส่ตัวข้าเจ้า” คนบ้านคนเมืองลำดับหื้อ มันเป็นเมียหลวงปะหัวทีล่อ แม่สอนแหล่กำนั้น “ขอเจ้าลูกรักแม่จะไปปลงเหลือ หื้อเหมือนดั่งเครือวงศ์เดียวร่วมไส้ รักกันแปงกัน ผัวแปงที่ไหว้ผู้ใดว่าใดล่วงล้ำ หื้อเหมือนอยู่ร่วมจองเดียวกันเป็นพี่เป็นน้อง” ขอบ่หื้อลูกเมือ ลำดับสะป๊ะสะเป้ด อยู่เมินไปสักหน้อย แม่เฒ่าก็ไห้หาแหล่ อยู่ไป แม่เฒ่าก็บ่กินสัง ง่อม ข้าวก็บ่ใคร่กิน น้ำก็บ่ใคร่กิน ง่อมล้ำหันหมู่หกคนแล้ว คนนั้นตึงหายตา ลุกเมืองยักษ์มาตึงบ่หัน ผ่อหาวันใดก็บ่หัน ลูกมันก็ไปถาม “แม่จะใด มาอยู่กับลูกเต้า ฤาว่าแม่เจ็บเนื้อเจ็บตัว ประชวรสนตัว เจ็บหัวเจ็บเกล้าก็บอกหื้อลูก ฤาว่าของกินแม่บ่เคยกินกับเข้า เคยกินหมากมันลูกไม้กาลูกจะไปเซาะหื้อกิน “บ่ใช่จะนั้น แม่ง่อมหาหลานที่เอาแม่เฒ่าลุกเมืองยักษ์มา” “เหอะ หกคนนั้นบ่ใช่กา” “บ่ใช่ แม่ยังบ่เคย หลานคนนั้นเอาแม่ขี่ทับ แม่หงส์บินเฉย แม่เคยเหลือหกลูกเต้านี้ แม่ได้หอบเหงื่อตุมไคลมา แม่บ่หันหน้าสักกำเตื้อ ตั้งเต้าออกจากเมืองยักษ์ ข้ามน้ำพ้น แม่ตึงบ่หันแหม หมู่หกคนแม่ตึงบ่เคยเซาะหาบ่หัน” “บ่าเดี่ยวนี้แม่จำได้กา คนนั้นนะ หน้าตากิริยาแม่จำได้กา” “แม่จำได้ แม่บ่หลงบ่ลืม เอาแม่ขี่หงส์ซ้อนมา ได้กอดได้หวัน ได้หอบเหงื่อตุม ไคลมาแม่บ่ลืม” “เออ หมะหยั้น เอ้า จะมัดตีนมัดมือแม่เฒ่าลุกเมืองยักษ์มา ร่อนหนังสือกู้บ้านกู้เมือง มากอยงาน เปิ้นจะมัดตีนมัดมือหื้อแม่เฒ่า มากอยตึงหน้อยตึงใหญ่ โทษมีถ้านตายบ่ฆ่า เรื่องมหรสพเจ้าพญาเอามาหมด เล่นอย่างใดมีสะป๊ะสะเป้ด” เปิ้นลำดับการละเล่นเปิ้นนะ ขอหื้อมากอย แม่เฒ่าอยู่บนปุ๊น โท้ เปิ้นเปิดงานกันทึ้ด ๆ หงส์หินก็ว่า “จะไปกอยงานกำฮะ” แม่ก็บ่หื้อมาว่า “จะไปไป เปิ้นตัวศัตรู เปิ้นฆ่าสองเตื้อสามเตื้อแล้วว่าจะไปไป” “บ่ใช่ จะไปอยู่ตังนอกผ่อเปิ้นบ่ตาย บ่เข้าในคุ้มในวัง” แม่บ่หื้อไป มันก็ว่าจะไปกำเดียว อยู่ทางนอกผ่อ อยู่ไกลผ่อ แม่เฒ่าอยู่บนปุ๊นหันเข้าใส่ ก็กวักมือ ไห้ดิ้นไปหั้นนะ “มา แม่มา แม่กองตะเจ๊า แม่ใคร่หันหน้าเจ้าจายแปง เจ้ากุมารน้อยกอบถ้อยแถลง ว่าเป็นลูกแปงคนเดียวแม่เฒ่า เป็นคนชังที่ฝูงท่านเจ้า ลูกชายเราบ่รัก” “ข้าบ่ขึ้นไปที่บนสำนัก จักอยู่ลุ่มเล่นดูงาน” ว่าหื้อแม่เฒ่า แม่เฒ่าซ้ำไห้ดิ้นไปหั้นนะ โท้ เปิ้นกึ๊ดแต่งานก็เพราะแม่เฒ่าใคร่หันหลานขอเปิ้นวะทางหื้อ เจ้าจะขึ้นไปนะ วะทางหื้อขึ้นไปหาแม่เฒ่า หวันไห้กอด พ่อก็มาแหล่ บ่รู้จักเป็นลูก “หลาน หลานลุกที่ไหนไปเอาแม่เฒ่าเมืองยักษ์มันก็บอกหื้อแหล่” “เต้าเมื่อสมเกิดมา เปิ้นเอาลอดลงฮูล่องหื้อหมากิน หมาบ่กิน พ่อพญาอินทร์เปิ้นรับเอาไปเลี้ยง เปิ้นเอาหมามาแทนลูก แม่อุ้มออกบ้านออกเมืองหมะเดี่ยวใหญ่มาขอมาแอ่ว พ่อพญาอินทร์หื้อมาแอ่วหาแม่ มาอยู่ก็ก้าย มาแอ่วในรั้วในเวียง” มันบอกหื้อพ่อมันหมดแหล่ เขาจ้างเมื่อฆ่ายักษ์ก็หกพัน ไปเมืองยักษ์ก็หกพัน สะป๊ะสะเป้ดมันอู้หื้อพ่อมัน พ่อมันรู้เป็นลูกมัน “เอา กำนี้ไปเสนาอามาตย์แป๋งขันเข้าตอกในสามสี่คน ไปขอนางวิมาลา มาตึงลูกไป๊เปิ้นสามคนมาหมด ใส่ช้างใส่ม้ามา” หมู่นั้นอุ้มไปแหล่ อุ้มขันข้าวตอกไป ไปขอ หมะยากหันขันข้าวตอกก็เบ่นหลังตำแล้วล่อ บ่ผ่อหน้า แล้วก็ว่า “ถ้วยแตกแล้วไปมาประสาน บ่มีสารทีจะติดต่อได้ เอาลูกข้าส่งมา” “เอ้อ จะเยียะอย่างใดละกำนั้น เราไปขอ พ่อกับลูกนะ” พ่อกับลูกก็ไป มันมากับลูกบ่ดายล่อนั้นนะผัวไปขอมันตึงบ่ผ่อหน้าสักกำ ผิดใจไล่ออกเมือง ผัวขอบ่ได้ เอาขันข้าวตอกเข้าไป ลูกเข้าไปขอ “แม่ ขอสูมากาละโทษแม่ ช่างมัน แล้วไปหายไป กรรมชาติแล้วมาสร้าง ขอแม่มาสร้างบ้านสร้างเมืองอยู่หอผาสาท อยู่ที่เก่า คำเกี้ยดหาย คำอายเสี้ยงขอแม่ลบลายหายเสีย เหมือนมีดฟันน้ำ ฟันแล้วบ่หันรอยขอแม่เมือ” พ่อขอมันตึงว่าบ่ผ่อหน้า ลูกอ้อนวอน “กันว่าบ่เมือ ก็แม่เฒ่าบ่หื้อลูกมา แม่เฒ่าจะตายละ” มากับลูกบ่ดายลูกนั้น บ่ใช่มากับผัวลู มาแผวก็กำนั้นก็ “ไล่หมู่นั้นลง หมู่หกคนแม่ลูกนะ ไล่ลง คำพอเสี้ยงพอฉิบหายก็เพื่อเขาตึงแม่ตึงลูก เอาคำพอหมดพอเสี้ยงละ ไล่ลง” ไล่ลงเรือน แผ่นดินแตกสลูบหมดตึงแม่ตึงลูก นั้นนะเวรมันบ่หาย บาปนี่เราส้ายได้ เรากินเราทานตึงวันตึงวัน ส่งข้าววัดข้าววา เหมือนน้ำล้างรังหมูเสื่อมเปิ๊บ ค่อยปัดลงเตื้อหน้อย เวรนั้นมันบ่หาย

หมอดูยาจก

นิทานมหัศจรรย์
นานมาแล้วยังมียาจกคนหนึ่ง เดินไปขอข้าวขอน้ำตามหมู่บ้าน วันหนึ่งก็ได้ไปขอข้าวที่บ้านหญิงคนหนึ่ง พอดีว่าวันนั้นแม่ญิงคนนั้นอารมณ์ลมไม่ค่อยดี เพราะว่าสร้อยคอนางหาย พอยาจกคนนั้นไปขอข้าวที่บ้านนั้นพอดี หญิงเจ้าของบ้านก็ตะคอกว่า “เฮ้ย ไปขอที่อื่นไป วันนี้อารมณ์ลมไม่ดี สร้อยคอก็หาย ไปลืมเอาไว้ทางไหนก็ไม่รู้” เมื่อพูดเสร็จนางก็นั่งลงตรงหน้าของยาจก นั่งก็ไม่เรียบร้อยทำให้ยาจกนั้นเห็นของลับ ยาจกคนนั้นก็ไม่รู้จะทำยังไงก็อุทานขึ้นมา “ช่องโหว่ ช่องโหว่” พอยาจกคนนั้นว่าจบ หญิงนั้นก็คิดได้ว่ามันลืมสร้อยไว้ที่รูในห้องน้ำ มันก็คิดว่ายาจกเป็นหมอดูมาบอกให้ตน นางก็เอาข้าวของให้ยาจกมากมาย จากนั้นไปก็เล่ากันว่ายาจกคนนี้เป็นหมอดูแม่นๆ แม่นมากๆ อีกไม่นานทองพระเจ้าแผ่นดินก็หาย ทหารก็จับเอาช่างตีทองทั้งหมดที่อยู่ในเมืองนั้นมา แล้วก็ให้ทหารไปเอาตัวยาจกคนนั้นมา แล้วบอกให้มันทำนายว่าใครเป็นคนลักทองไป ยาจกคนนี้ก็กลัวเพราะมันไม่ใช่เป็นหมอดู มันก็คิดหาวิธีว่าจะทำอย่างไรถึงจะได้ตัวขโมยมาให้พระเจ้าแผ่นดิน ในที่สุดมันก็คิดได้ มันก็นับดูช่างทองว่ามีกี่คน แล้วมันก็ให้ทหารไปหาถังใส่สีมาให้ครบกับช่างทอง พอทหารหามาครบแล้ว ยาจกคนนี้ก็บอกกับช่างทองว่า “ให้ทุกคนเอามือจุ่มลงในถัง ถ้าใครไม่ได้ลักทอง สีก็จะไม่ติดมือ แต่ถ้าใครลักสีก็จะติดมือ“ หมู่ช่างทองที่ไม่ได้ลักทองก็เอามือจุ่มจนถึงก้นถัง แต่คนที่มันลักมันก็เอามือจุ่มไม่ถึงก้นถัง เสร็จแล้วยาจกมันก็บอกให้ช่างทองเอามือออกจากถัง ปรากฏว่าคนที่ไม่ได้ลักมือจะเป็นสีหมดจนถึงแขน มีคนเดียวเท่านั้นที่มือมันเป็นสีน้อยกว่าคนอื่น ยาจกก็เลยบอกกับพระเจ้าแผ่นดินว่า “ไอ้คนที่มือมันเป็นสีน้อยที่สุดนั้นแหละที่เป็นคนลักทองของท่านไป” ตั้งแต่นั้นมายาจกคนนั้นก็ได้เข้าไปอยู่ในเมือง อยู่ดีมีสุขตั้งแต่นั้นมา

หมูหิน

นิทานมหัศจรรย์
ยังมีเจ้าเมืองๆ หนึ่งมีเมียสองคน เมียหลวงมีลูกชายอยูสองคน ส่วนเมียน้อยนั้นมีลูกสาวอยู่หนึ่งคน นางเมียน้อยนั้นอิจฉาลูกเมียหลวงมากเพราะว่าเป็นผู้ชาย และจะได้สืบราชสมบัติแทนพ่อ นางจึงแอบไปบอกให้เจ้าเมืองว่า “เมียหลวงนั้นแอบมีชู้” เจ้าเมืองจึงสั่งให้ทหารเอาเมียหลวงกับลูกชายสองคนไปลอยแพเสีย ในระหว่างที่แพไหลตามน้ำนั้นลมก็ได้พัดแพแตก สามแม่ลูกจึงพลัดพรากจากกัน แม่ได้ไหลไปยังเมืองๆ หนึ่ง เจ้าเมืองๆ นั้นจึงได้เอานางไปเป็นเมียเสีย ส่วนลูกชายคนเล็กได้ไหลไปพบพระฤาษีตนหนึ่ง พระฤาษีก็ชุบเลี้ยงดูและอยู่กับท่านที่ในป่านั้น ส่วนพี่ชายพระอินทร์เนรมิตสำเภามาเอารับไว้ แล้วแล่นไปยังเมืองๆ หนึ่ง พอดีเจ้าเมืองไม่มีบุตรชายจึงรับเอากุมารไว้เป็นบุตร ต่อมาพี่ชายก็ได้เป็นเจ้าเมือง ฝ่ายลูกคนเล็กอยู่กับพระฤาษีก็ได้ฝึกฝนวิชาอาคมแล้วก็ได้ลาพระฤาษีไปตามหาแม่และพี่ชาย พระฤาษีจึงได้มอบหินก้อนหนึ่งและฆ้อนอันหนึ่งให้ เขาจึงขึ้นนั่งบนหินก้อนนั้นแล้วเอาฆ้อนทุบสามที หินนั้นก็กลายเป็นหมูพาเหาะขึ้นบน อากาศ เมื่อตามหาแม่ไปเรื่อยๆ ก็ได้ไปพบแม่ตัวเองที่เมืองนั้น ต่อมาก็อยากไปหาพี่ชายอีก ก็ออกตามหาอีกจบไปพบพี่ชายที่ปกครองเมืองอีกเมืองหนึ่งอยู่ก็เข้าไปหาแล้วบอกเรื่องราวให้ฟัง หลังจากที่พดคุยด้วยกันถึงเรื่องราวต่างๆ จบมาพบกัน ทางฝ่ายเจ้าเมือง เมื่อเอาเมียหลวงและลูกลอยแพแล้ว ต่อมาไม่นานก็รู้ว่าเมียน้อยไม่ดี จึงให้เสนาเอาใส่แพน้อยลอยน้ำไปเสีย พอดีแพของนางไปติดอยู่เมืองอีกเมืองหนึ่ง เจ้าเมืองมีบุตรหญิงคนหนึ่งและรับเอานางเป็นเมีย ส่วนบุตรหญิงของนางเมียน้อยก็มียักษ์มาลักเอาไป น้องชายคนเล็กหลังจากที่พบแม่และพี่ชายตนเองแล้วก็ได้ออกเดินทางท่อง เที่ยวต่อไปอีกต่อไปอีก ก็ไปพบลูกของเจ้าเมืองที่ริมฝั่งแม่น้ำที่นางเมียน้อยเป็นเมียอยู่ เมื่อนางรู้ว่าลูกของเมียหลวงมารักลูกสาวของเจ้าเมือง นางจึงยุให้เจ้าเมืองฆ่าเขาเสีย เมื่อพี่ชายรู้ข่าวจากสายลับว่านางเมียน้อยของพ่อตนนั้นไปเป็นเมียของเจ้าเมืองที่น้องตนอยู่และยังคิดที่จะฆ่า น้องชายตนเอง พี่ชายจึงได้ยกทัพไปช่วยและฆ่าแม่น้าของตนตายเสียแล้วรับเอานางมาเป็นเมียอีกคน หลังจากนั้นน้องก็ลาพี่ชายไปท่องเที่ยวอีกก็ไปพบพระฤาษีตนหนึ่ง พระฤาษีมีบุตรสาวอยู่หนึ่งคน ทั้งสองก็รักชอบกัน พระฤๅษีก็ได้ยกลูกสาวตนนั้นให้เป็นเมียของน้องชายคนนี้ ต่อมาฝ่ายน้องก็ได้ออกเดินทางไปอีก ได้เดินทางไปพบยักษ์ที่ลักเอาตัวลูกสาวของแม่น้าไป กุมารองค์นี้จึงฆ่ายักษ์นั้นตายไป และรับเอานางนั้นคืนมา ต่อมาทั้งสองจึงกลับไปหาพ่อของตนแล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เจ้าเมืองจึงให้นำเมียหลวงกลับคืนมายังเมืองเหมือน เดิม ส่วนลูกเมียน้อยนั้นก็ให้แต่งงานกับเสนาที่เป็นเพื่อนของเจ้าผู้น้อง เจ้าผู้น้องเมื่อตายไปก็เกิดเป็นพระพุทธเจ้า

อ้ายจ๊อกละ

นิทานมหัศจรรย์
จ๊อกละมันเป็นได้ยินแฟนลูกสาวพญา มันจะปลอมตัวเป็นแฟน จะเอาลูกสาวพญาไปเป็นเมียของมัน ขับแม่มันห่อข้าวหื้อ “แม่ๆ ห่อข้าวหื้อกำ” แม่มันก็ห่อหื้อ แล้วมันก็เกียมหม้อเกียมไหพามาที่คนใช้ลูกสาวพญา แล้วมันก็ฮ้อง “น้องๆ แจ้งแล้ว ไปแอ่วหนองดอกบัว” ลูกสาวพญาลุกมาก็กินน้ำที่ตีนคันได ไปแผวที่หนองดอกบัวแล้วก็ไปแจ้งที่ปู้น เสียแจ้งแล้วบ่ใช่แฟนตัวสักกำ เป็นจ้อกละคนใช้ ผลสุดท้ายมาก็ “จ๊อกละ ถ้าฮาปากฮ่อคิงสามเตื้อ ฮาจะยอมเป็นเมียคิง” จ๊อกละมันก็ม้ำมึกในใจมัน ขวายมาๆ ก็ตั้งหม้อดังไฟหื้อลูกสาวพญากำ มันก็บ่เอาก้อนเส้าใส่ง่ายๆ ลูกสาวพญาร้อนก็ว่า “จ๊อกละ เอาก้อนเส้าใส่ ฮาฮ้อนมือ” แถมกำถอดเตี่ยวหม้อนึ่งไว้ “ไอ่จ๊อกละ เอาเตี่ยวหม้อนึ่งมา ข้าวจะแจ๊ะ” กำเดียวก็เปี๋ยวมาหม้อข้าวไปควบหัวแหมแล้ว คนข้าวแล้วข้าวจะไหม้ละ “จ๊อกละ เอาฝามันมาแล่ ข้าวจะไหม้ มันจะบ่สุก” สามกำ เทอะ กำนี้จ๊อกละยิ้มได้ ก็กินข้าวกินหยังแล้วก็พากันไปแอ่วที่หนอง ที่นางนกจะมาเล่นน้ำที่ดอกบัว จ๊อกละไปคอยนางนกมาเล่นน้ำหนองหั้น มันก็มอบๆ ไปติ๊เอานางนกไว้ตัวหนึ่ง เจ้าหมู่นางนกมาขอ มันก็บอกหื้อเอาดอกบัวมาไถ่เอา ได้ดอกบัวมาก็มาไถ่เอา มันได้ดอกบัวแล้วก็เข้าไปในป่า ปะใส่พระฤาษีก็เอาดอกบัวนั้นไปถวาย พระฤาษีก็เอาพิณดีดหื้อ ไปปะฤาษีแหมตนหนึ่ง เอาดอกบัวไปถวายหื้อแหม พระฤาษีก็เอาถงวิเศษหื้อ ไปปะแหมคนหนึ่ง เอาดอกบัวไปถวาย ฤาษีนั้นก็เอาเชือกหื้อ ไปปะแหมองค์ก้เอาค้อนหื้อ แล้วมันก็ปิ๊กมาบ้าน ส่วนพญานั้นก็มากึ้ดเติงหาลูกสาวแท้เนอ ว่าจ๊อกละ เอาลูกสาวไป ก็ใช้เสนาไปถาม เขามากมันก็ดีดพิณหื้อฟัง ใช้คนใดไปก็หายแว้ดๆ พญาโขด ป่าวเสนาเกียมปืนเกียมอาวุธไปรบ จะไปฆ่าไอ่จ๊อกละ เผื่อเมื่อคืนจ๊อกละก็ขับถงไว้ ถงวิเศษนั้นไปยึดอาวุธของพญาเจ้าเมืองไปกองไว้บ้านมันหมด วันพูกมารบมันก็ปล่อยเชือกเข้ามัด ปล่อยค้อนเข้าบุบ พ่อพญาก็ยอมก๊าน มอบลูกสาวหื้อเหีย ฝ่ายลูกจายมันแต่งงานแล้วขึ้นถนนล่องถนนเหน็บดอกบัว เอียงกันไปเอียงกันมา เขาขอยมัน จ๊อกละนี่ใคร่หัวฮะๆ ได้เมียงาม

อ้ายหน้าหม้ง

นิทานมหัศจรรย์
ในสมัยครั้งนั้นนมนานมาแล้ว มีสองผัวเมียอยู่บ้าน เคยไปไร่ทุกวัน แต่วันนั้นเป็นวันโกนคือวันดาเป็นการเตรียมข้าวของเพื่อจะไปวัดในวันรุ่งขึ้น ผู้เป็นเมียไม่ได้ไปสวน ก็เลยให้สามีไปสวนคนเดียว พอไปสวน เมียอยู่ทางบ้านก็ทำขนม ทำขนมหน้าถั่ว เมียทำขนมจนถึงเที่ยงสามีก็กลับมาที่บ้าน แบกฟืนมาวางไว้ ผู้เมียก็ว่า “ได้แบ่งข้าวหนมหน้าถั่วไว้ให้แล้ว” ผู้ผัวก็ขึ้นไปบนเรือน เมียก็ได้ลงเรือนไปที่บ่อน้ำ ผัวไม่รู้ว่าเมียแต่งขนมจะเอาไปวัด จะไปทำบุญวันพรุ่งนี้ พอขึ้นเรือนมา มันเห็นถั่วที่โรยหน้าขนมก็เก็บถั่วมากินหมด พอหมด แล้วมันก็เดินลงจากเรือนไป พอดีเมียมันขึ้นมา เมียมันตกใจ เมียว่า “เอ้า ไผมากินถั่วหน้าข้าวหนมนี่หมดหา” ถามผัวมัน ก็ปฏิเสธ “ข้าบ่รู้เน่อ” “สาธุ ถ้าผู้ใดกินถั่วหน้าข้าวหนม เกิดมาแหมชาติหน้าขอหื้อหน้าเป็นหม้งเป็นหม้าง (เป็นหลุมไม่เรียบเนียน) เหมือนข้าวหนมเน่อ“ เมียมันก็กล่าวแช่งไว้ ฝ่ายผัวมันก็หัวเราะคึกคัก เพราะว่ามันแอบกินแล้ว ทีนี้นานมาทั้งสองผัวเมียตายไป ผู้เป็นเมียตายไปเป็นลูกพญาเจ้าเมือง แต่ผัวมันตายมาเป็นลูกทุคตะเป็นหน้าหม้งหน้าหม้าง ไม่สวยงาม ชายทุคตะนั้นก็อยู่ใกล้เวียงเหมือนกัน ทีนี้มันก็ไปเห็นลูกสาวพญาเจ้าเมืองเพราะบุพเพแต่ชาติเก่า มันก็หลงรักลูกสาวพญาเจ้าเมือง ชายทุคตะก็ไปบอกให้แม่มันไปขอลูกสาวพญาเจ้าเมือง แม่มันว่า “โห อ้ายหน้าหม้ง มึงจะไปว่าอั้นเน่อ พญาเจ้าเมืองรู้เปิ้นจะฆ่าหัวมึงแหล่ จะไปเยียะแท้ จะไปว่าแต๊เน่อ” (อย่าพูดอย่างนั้น ถ้าพญาเจ้าเมืองรู้ท่านจะฆ่าเจ้านะ) มันก็ว่า “บ่เป็นหยังนา ไปขอเต๊อะ” (ไม่เป็นไรหรอก ไปขอเถอะ) มันก็บ่นแม่มันไป แม่มันอดไม่ได้ แม่มันก็ไปหาพญาเจ้าเมือง พอแม่ของชายทุคตะเข้าเฝ้าพญาเจ้าเมืองก็กล่าวว่า “ไหว้สามหาราชะเป็นเจ้า บะเดี่ยวนี้ลูกข้ามีคนหนึ่งชื่อว่าอ้ายหน้าหม้ง บ่งาม ละก็บ่มีงานทำอะสังสักสิ่งสักอย่าง ใคร่ขอหื้อท่านพญาเจ้าเมืองเอามาใช้มาสอยเต๊อะ เอามาใช้อย่างใดก็เอามาใช้เต๊อะ” พญาก็ว่า “เออ ดีละ เอามาหื้อมาเลี้ยงม้า เกี่ยวหญ้า หื้ออยู่โรงม้าปุ๊นเน่อ” แม่มันก็ดีใจกลับไปบอกเจ้าทุคตะ เจ้าทุคตะมันมาถามแม่ของมัน “แม่ เปิ้นว่าจะใด” “โอ ลูกเหย ก็ดีเหมือนกันถ้าลูกไปเปิ้นว่าจะผ่อน้ำการก่อน ถ้าน้ำการลูกยังดีเปิ้นจะเอาลูกสาวพญาเจ้าเมืองหื้อ” มันก็ดีใจไปอยู่โรงม้า ไปเกี่ยวหญ้าม้าทุกวัน บางครั้งก็เอาหญ้าม้ามาจนถม เถ เท่าใดมันก็เอามาไว้ เพื่อที่จะให้พญาเจ้าเมืองดูน้ำการคือดูการทำงาน เพราะมันอยากจะเอาลูกสาวพญาเจ้าเมืองเป็นเมีย มีวันหนึ่ง พญาเจ้าเมืองเมืองหนึ่งมีสาส์นมาขอลูกสาว พญาเจ้าเมืองก็ได้ยกลูกสาวให้ไปโดยไม่รู้ว่าเจ้าทุคตะเข้าใจว่าพญาจะยกลูกสาวให้กับตน พอเจ้าทุคตะรู้เรื่องราวที่พญายกลูกสาวให้กับเจ้าเมืองอื่นมันก็โกรธและกล่าวว่า “โห พญานี่จะใด อู้ไหนบ่มีหั้นจุ๊ข้าจะใด บ่าเดี่ยวนี่ว่าถ้าข้าเลี้ยงม้า ข้าทำการดีจะเอาลูกสาวหื้อข้า บะเดี่ยวนี้จะใดตกลงหื้อพญาเจ้าเมืองอื่น ข้าบ่ยอม แหมบ่เมินค่ำเมื่อใดก็ดี ขอนางลงมาสักกำเต๊อะ “ ไอ้หน้าหม้งได้คิดวางแผนเตรียมการเอาไว้เพื่อที่จะลักพาตัวลูกสาวพญาเจ้าเมืองตอนนางไปอาบน้ำ มันเตรียมไว้แล้ว ไหข้าว หม้อนึ่ง ข้าวสุก ข้าวสาร มันเตรียมไว้หมด อานม้า มันคอยนาง ค่ำมานางลงมาอาบน้ำ ลูกสาวพญาลงไป จะไปอาบน้ำ มันค่อยย่อง จับตัวลูกสาวพญาเจ้าเมืองได้เอาผ้ามัดปากไม่ให้ร้อง อุ้มขึ้นม้าแล้ว ตีม้าวิ่งออกเวียงไป เจ้าเมืองสั่งทหารให้หาลูกสาวเพราะว่าไปอาบน้ำนาน ทหารหานางไม่เจอเพราะอ้ายหน้าหม้งลักนางไปแล้ว เจ้าเมืองจึงสั่งให้ทหารออกตามหา ไอ้หน้าหม้งมันพาลูกพญาเข้าป่าไปแล้ว มันจอดม้า ทหารของพญาก็ตามหากันทั้งวันทั้งคืน ไอ้หน้าหม้งมันก็ดังไฟนึ่งข้าว นางนั้นถามว่า “อ้ายหน้าหม้ง มึงเอากูมาทำไม” “ก็เอามาก่า พ่อพญาบอกว่าถ้าข้าทำงานดีจะมอบนางให้เป็นเมียข้า” ไอ้หน้าหม้งตอบ “ปุดโท ๆ ข้าบ่เอาเน่อ มึงยังบ่ผ่อตัวมึงหน้าเป็นหม้งเป็นหม้างไผจะไปเอา กูยังบ่รู้ กูตึงบ่เอา “ “ข้าตึงจะเอา “ ไอ้หน้าหม้งตอบกลับทันที “เต๊อะน่า ถ้าข้าปาก(พูด)กับมึงพ้น ๓ คำ ข้าจะยอมเป็นเมียมึง” ลูกสาวพญาใช้เล่ห์เหลี่ยมต่อรองไอ้หน้าหม้ง “ก็ดี” ไอ้หน้าหม้งตั้งก้อนเส้า เอาหม้อนึ่งเข้าใส่ เอาไหเข้าใส่เอาข้าวเข้าใส่ ตั้งดังไฟ กำเดียวมันบ่เอาเต่วหม้อนึ่ง(ผ้าที่เอาไว้อุดรอยต่อระหว่างหม้อนึ่งข้าว)ใส่ ขวายมา ๆ นางก็อยากกินข้าวแท้เนอ นางก็อดไม่ได้ จึงบอกกับไอ้ทุคตะว่า “ยังบ่เอาเต่วหม้อนึ่งเข้าใส่เหีย” “โฮ แท้น่อ” มันก็เอาเต่วหม้อนึ่งเข้าใส่ ได้ซักครู่ข้าวขึ้นเริ่มที่จะสุกแล้ว มันบ่เอาฝาปิด ข้าวนี่ก็ ไม่สุกง่ายๆ นางนั้นก็อยากกินข้าว จึงบอกออกไปอีกว่า “ก็ยังบ่เอาฝาชีเข้าใส่เหียละ” "เอ่อ แต้..." (จริงสินะ) มันก็เอาฝาปิดหม้อนึ่ง ซักครู่ข้าวสุก มันยกข้าวลงมา ทีนี้ก็เอาไม้ด้ามคนข้าวเหน็บเอวแล้วก็แกล้งเดินไปเดินมา “เอ๊ ข้าเอาไม้ด้ามไปไว้ไหนหา” เอากรายหน้านางไป กรายหน้านางมา พอขวายนางก็อยากกินข้าว ถ้านางเกิดพูดกับมันอีกครั้งละก็ นางก็จะตกเป็นเมียของไอ้หน้าหม้งตามที่สัญญากันไว้ นางก็ไม่ยอมพูด มันก็เอาแต่เดินผ่านหน้าไปมาๆ ข้าวก็จะเย็นละ นางอดไม่ได้ “ก็มึงเอาเหน็บแอว” “แน่..นางเป็นเมียข้าแล้ว” พอดีหมู่เสนาอามาตย์ทั้งหลายเอาม้าติดตามมา พออ้ายหน้าหม้งเห็นเหล่าเสนาทหารติดตามมา มันก็กระโดดขึ้นม้าควบหนีเข้าป่าไปทิ้งนางลูกสาวพญาไว้ที่นั่น พอเข้าในแพะในป่าแล้ว เทวดาเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นก็ร้อนใจ เทวดาโยนถงขี้ลักให้อ้ายหน้าหม้ง มันได้ถงขี้ลักแล้วก็พกติดตัวไปด้วยทุกที่ ถงนี้จะใช้ไปที่ไหนไปทั้งนั้น ไปลักอะไรก็ไปได้ทั้งนั้น อ้ายหน้าหม้งเดินทางไปเรื่อย ก็ไปพบพระฤาษี พระฤาษีองค์นี้มีกลองวิเศษ กลองวิเศษนี้ถ้าหากว่าเอาใบมะขามใบอะไรก็ตามยัดเข้าไป จะเอาเป็นเสนาทหารเท่าใดก็ได้ จะเอากี่หมื่นกี่แสน จะเอาเป็นทหาร มีอาวุธยุทธภัณฑ์พร้อม มีดาบมีง้าวออกมา แค่เอาใบไม้ใส่แล้วตี เป็นทหารเดินไปใช้ไปฆ่าคนยังได้ มันไปปฏิบัติพระฤาษีได้ ๗ วัน มันนึกในใจข้าขอลา ข้าจะไปที่อื่น พอไปได้ครึ่งทางเกือบจะถึงพระฤาษีอีกองค์หนึ่ง “ถง มึงไปลักกลองวิเศษหื้อกู” เมื่อคืนถงก็ไปลักกลองวิเศษให้มัน มันก็ซ่อนไว พอไปปะพระฤาษีองค์ใหม่ พระฤาษีองค์นี้มีพร้าด้ามวิเศษ คือมีมีดวิเศษ มีดวิเศษนี้จะใช้ไปตัดหัวตัดคอใครได้ทั้ง นั้น มันมาอยู่ปฏิบัติพระฤาษีได้ 7 วัน มันเห็นพระฤาษีใช้พร้านี้ไปตัดตามที่มันต้องการได้ “มึงไปตัดกิ่งไม้แห้งมาไป๊” พร้าก็บินไป ตัดไม้มาเป็นท่อนๆ “อือ พร้านี้เก่งจริง ใช้ไปไหนไปได้หมด” อ้ายหน้าหม้งกล่าว มันเป็นลูกศิษย์พระฤาษี มันรู้เรื่องทั้งหมดทั้งการสั่งการการบังคับพร้าด้ามนี้ มันลาพระฤาษีพอมาถึงกลางทาง มันก็ใช้ถงไปเอาพร้าด้ามนั้นมา "ถงไปลักพร้าด้ามมาหื้อกู” ถงนั้นไปลักพร้าด้ามวิเศษได้มา มันเดินไปก็ได้พบพระฤาษีอีกตน พระฤาษีมีหม้อน้ำกะทิวิเศษ หม้อวิเศษนี่ถ้าเอาน้ำเข้าใส่ ถ้าจะเทลงแผ่นดินจะให้เป็นแม่น้ำท่วมก็ได้ มันอยู่ได้อีก 7 วันมันก็ลาพระฤาษี “ข้าขอลาท่านพระฤาษีไปก่อน ข้าจะไปหาแม่ข้า” พอมาครึ่งทางบอกว่า “ถง ไปลักเอาหม้อหั้นมาหื้อกูหื้อได้” มันก็ไปลักหม้อมา มันได้ของวิเศษถึง ๓ อย่าง กลองวิเศษน่อ พร้าด้าม หม้อกะทิ อ้ายหน้าหม้งมันเข้าเมืองไปเห็นทหาร ทหารก็จำมันได้ว่ามันพาลูกสาวพญาหนีทหารก็ฆ่ามัน “โอ้ ไอ่หน้าหม้งมาแล้ว ต้องฆ่าไอ่หน้าหม้ง” “เออ กูมาแล้ว จะเยียะจะใดหื้อข้า” “บะเดี่ยวนี้พญาเปิ้นจะเซาะจับมึงไปตัดคอ มึงลักลูกสาวเปิ้น” “โทะ” อ้ายหน้าหม้งมันหัวเราะ “ข้าบ่กลัว ท้าให้สูมารบข้าก็ได้ ไปบอกพญาเจ้าเมืองสูมารบข้านะ” เขาไปบอกพญา พญาโกรธมาก “เอา ทหารไปรบอ้ายหน้าหม้ง มันจะวิเศษแค่ไหนเชียว” เมื่อทหารจะมา มันเอาน้ำเข้าใส่หม้อ ราดเข้าไปเป็นแม่น้ำนองขึ้นมา เขาข้ามไม่ได้ ทีนี้มันบอกว่า “กลองนี้เป็นทหารไปรบ” มันเอาใบไม้มา เป็นทหารไปรบ ใช้พร้าไปตัดคอทหาร ในที่สุดมันว่า “ไปบอกหื้อพญาสูมารบพญากู สองต่อสอง” เหล่าทหารไปบอกพญาเจ้าเมือง พญาเจ้าเมืองก็โกรธมากกว่าเก่า “ไอ่หน้าหม้ง คิงท้าฮามารบมึงกา” พญาพูดด้วยน้ำเสียงที่โกรธกริ้วมาก “เออ” “มา รบก็รบ “ “พร้าวิเศษ ไปตัดคอพญาบะเดี่ยวนี้” ไอ้หน้าหม้งกล่าวขึ้น พร้านั้นก็ไปตัดคอพญา พญาตกลงช้างไปเลย ตายแล้วน้ำก็แห้งไปหมด มันบอกว่า “น้ำแห้ง สูทังหลายจะว่าจาใด” เสนาอามาตย์ทังหลายมาไหว้อ้ายหน้าหม้ง “ท่าน ขอหื้อท่านเป็นพญาเจ้าเมือง ท่านมีฤทธิ์มีอำนาจ ขอหื้อได้ลูกสาวพญาเจ้าเมือง” มันเลยได้ลูกสาวพญาเจ้าเมือง และครองเมืองนั้น

อ้ายหมอนกิ่ว

นิทานมหัศจรรย์
อ้ายหมอนกิ่วเป็นคนขี้เกียจ แต่อยากจะพระยาเจ้าเมือง แม่มันก็ดูถูกว่า “เหอะ…คนขี้เกียจอย่างมึงหวังจะเป็นพระยาเจ้าเมืองเรอะ ยังไงมึงก็ไม่ได้เป็น“ “เป็นได้สิน่า“ มันเถียง วันหนึ่งอ้ายหมอนกิ่วมันจุดไฟแล้วขึ้นไปดักไซบนปลายไม้ กะว่าจะเอาปลาไปขาย ได้เงินก็จะเอาไปหมั้นลูกสาวพระยาเจ้าเมือง อ้ายหมอนกิ่วคิดดังนั้นมันก็ไปจับหนูจะให้เป็นเหยื่อปลา มันก็พูดว่า “เอ้า…หนูมาเข้านี่“ หนูก็ขอไหว้อ้อนวอน ขอให้อ้ายหมอนกิ่วอย่าฆ่าตน แต่อ้ายหมอนกิ่วบอกว่าไม่ได้ มันจะไปตกปลาจะได้เอาไปขาย แล้วเอาเงินไปหมั้นลูกสาวพระญาเจ้าเมือง หนูได้ฟังดังนั้นจึงบอกมันไปว่า “ขอไว้ชีวิตข้าเถอะ แล้วข้าจะช่วยท่าน” อ้ายหมอนกิ่วก็ถามว่า “เจ้าจะช่วยข้าได้จริงเรอะ” “ได้สิ ข้าช่วยราชสีห์ก็ยังได้” อ้ายหมอนกิ่วก็เชื่อมัน ฝ่ายหนูนั้นมันอาศัยอยู่ในถ้ำ ที่มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ พระยาเจ้าเมืองมักจะไปไหว้พระที่นี่เสมอ วันหนึ่งเมื่อไปไหว้พระ หนูที่อาศัยอยู่ในถ้ำ ก็พูดขึ้นมา จากด้านหลังของพระพุทธรูปว่า “เออ… พ่อพระยา ถ้าท่านจะหาลูกเขย ให้ท่านเอาอ้ายหมอนกิ่วเป็นลูกเขยนะ” พอมเหสีของพระยาเจ้าเมืองไปไหว้พระ หนูก็พูดขึ้นมาอีกว่า “เออ แม่พระญา ถ้าท่านจะหาลูกเขย ให้ท่านเอาอ้ายหมอนกิ่วนะ” พอลูกสาวของพระญาเจ้าเมืองไปไหว้พระ หนูก็พูดขึ้นมาจากด้านหลังพระพุทธรูปอีกว่า “เออ ลูกสาวพระยา ถ้าท่านจะหาสามี ให้เอาอ้ายหมอนกิ่วเป็นสามีนะ” ทั้งสามคนก็มาปรึกษากันเรื่องที่พระพุทธรูปในถ้ำบอกตรงกันว่าให้เอาอ้ายหมอนกิ่วเป็นสามีเป็นลูกเขย พ่อพระยาจึงให้เสนาอำมาตย์ไปหาตัวอ้ายหมอนกิ่วมาเข้าเฝ้า เมื่อมันมาถึงในวังมันก็เอาแต่นอน เพราะมันขี้เกียจ เอาแต่นอนจนหมอนกิ่ว ฟูกยุบ มเหสีของพระยาเจ้าเมืองเห็นอ้ายหมอนกิ่วมันเอาแต่นอนก็บ่นว่า “โอ…คนอย่างนี้เอามาทำไม เอาไปส่งคืนเสีย” แต่พ่อพระยาก็ขัดว่า “มันเป็นคนทุกข์ไร้ ไม่ได้ร่ำเรียน น่าสงสารมันนะ มันไม่มีการศึกษา“ แล้วพ่อพระยาก็ลงทุนให้เงินอ้ายหมอนกิ่วไป ให้มันไปเป็นพ่อค้า อ้ายหมอนกิ่วมันก็เอาเงินไปซื้อผ้าใหม่แล้วเอาไปแลกผ้าเก่า ก็ขาดทุน แม่พระยาจะไล่มันกลับบ้าน แต่พ่อพระยาก็อยากจะดูว่ามันจะพัฒนาตัวเองได้ไหม ก็ให้เงินไปอีกก้อน อ้ายหมอนกิ่วมันก็เอาเงิน ไปซื้อข้าวเปลือกแล้วเอาไปแลกแกลบ ขาดทุนอีก แม่พระยาอยากจะให้ส่งมันกลับบ้านเต็มที แต่พ่อพระยาก็บอกว่าให้ดูมันไปก่อน แล้วก็ให้เงินอ้ายหมอนกิ่วไปอีกก้อนหนึ่ง ครั้งนี้ อ้ายหมอนกิ่วได้เงินมาแล้วก็เอาไปซื้อทองคำ เมื่อซื้อมาแล้วก็ไปหาก้อนหินก้อนใหญ่ๆ เอาทองคำมาหลอมแล้วพอกก้อนหินนั้นไว้ทุกก้อนๆ จนกลายเป็นก้อนทองคำ มากมาย มันก็เอาก้อนหินที่ชุบทองนั้นไปแลกกับเงิน ฝ่ายพ่อค้าที่เคยแลกผ้าแลกแกลบกับอ้ายหมอนกิ่ว เห็นอ้ายหมอนกิ่วหาบทองคำมาก็กระหยิ่มยิ้มย่องว่า “พ่อค้าโง่มันมาอีกแล้ว คราวก่อนเอาผ้าใหม่มาแลกผ้าเก่า เราก็ได้ดี มันเอาข้าวเปลือกมาแลกแกลบ เราก็รวยอีก คราวนี้มันจะเอาทองคำมาแลกเงินเว้ย” ว่าแล้วพ่อค้าทั้งหลายก็พากันเอาเงินไปแลกก้อนหินชุบทองกันหมด อ้ายหมอนกิ่วก็เลยมีเงินมากมาย กลายเป็นคนร่ำรวยไปเสียอีกเพราะความเจ้าเล่ห์ของมัน

อ้ายโง้มฟ้า

นิทานมหัศจรรย์
อ้ายโง้มฟ้าเป็นคนที่มีรูปร่างใหญ่โตที่สุดในโลก ถ้ามันยืนขึ้นหัวมันเทียมฟ้า เดินไปทางไหนจะต้องก้มหัวคอยหลบดาวต่าง ๆ มันใหญ่มันสูงหัว มันจึงได้ชื่อว่าอ้ายโง้มฟ้า อ้ายโง้มฟ้านี้มันกลัวน้ำจะท่วมโลก มันไปเอาดินจากทางใต้ขึ้นมาปิดน้ำฟ้าทางเหนือดินที่มันโกยมานั้นย้อยลอดจากอุ้งมือหว่างนิ้วมือมันตกเรี่ยราดไปทั่วโลกที่เราเห็นเป็นดอยเป็นภูเขาเดี่ยวนี้ อ้ายโง้มฟ้านี้มันนอนหลับได้ปีหนึ่งจึงจะตื่น พ่อค้าวัวต่างกลุ่มหนึ่งไปไล่งัวต่างเข้าไปในถ้ำ แต่จริงๆ แล้วที่คิดว่าเป็นถ้ำนั้นคือรูจมูกของอ้ายโง้มฟ้า ขณะนั้นอ้ายโง้มฟ้ามันหลับมาได้เกือบจะครบปีแล้ว พอพวกพ่อค้าวัวต่างเข้าไปในรูจมูกอ้ายโง้มฟ้าก็พากันปลดวัว ตอกไม้หลัก เอาวัวมัดแล้วก็ก่อไฟจะหุงข้าวแล้วก็จะจอผักกาด พ่อค้าคนหนึ่งก็เอาพริกแห้งมาเผาไฟ กะว่าจะกินกับจอผักกาด อ้ายโง้มฟ้าก็ฉุนพริกที่เผาอยู่ในรูจมูกของมันก็เลยจามออกมา พ่อค้าวัวต่างทั้งคณะก็เลยปลิวไปคนละทิศละทาง จากแม่ฮ่องสอนก็ไปตกเชียงรายบ้าง ลำปางบ้าง เถินบ้าง แม่สอดบ้าง วุ่นวายไปทั่ว วัวไปตกที่หนึ่ง คนไปตกไปที่ หนึ่ง หมอนไปที่ พ่อไปตกเมืองแพร่ ลูกไปตกเมืองตากหากันได้ปีจึงจะพบกัน

เตโชยาโม

นิทานมหัศจรรย์
แรกเริ่มก็มีอยู่ว่า สองสหาย ชื่อคนหนึ่งว่าเตโช อีกคนชื่อว่ายาโม ต่างคนต่างก็มีเมียกันแล้ว เมียของเตโชนั้นชื่อว่าจันตา เมียของยาโมนั้นชื่อว่ากาสี ผัวเมียคู่ที่นึ่งนั้น เตโชเป็น คนที่ใจบุญแล้วก็เชื่อฟังซึ่งกันและกันกับเมีย จะไปที่ไหนผัวว่าแล้วก็เป็นที่รู้เรื่องกัน อีกคู่หนึ่งคู่ที่สองนั้นผัวชื่อว่ายาโม แต่ไม่ค่อยถูกกันกับเมีย พูดกันยาก ทีนี้ก็วันหนึ่งผัวทั้งสองครอบครัวนี้กินเหล้าด้วยกันเมาเหล้ามากๆ รูดมาตามหนทางพิงรั้วตลอดจนมาถึงบ้านของใครของมัน เตโชก็มาบ้าน เมียมันก็ล้างเท้าล้างมือ ล้างหัว แล้วก็อาบน้ำให้ แล้วก็ปูผ้าให้นอน กล่อมจนหลับ แล้วทีนี้ยาโม สหายคนที่สองมัน เห็น เพื่อนนั้นถูกปรนนิบัติอย่างดีมันก็ว่า "ฮู้… เมียเพื่อนเรานี้ดีมากเลยนะเนี่ย เดี๋ยวเราจะลองให้เมียเราทำแบบนี้บ้าง” ทีนี้ยาโมก็ไปกลิ้งขี้โคลน ไปทำเมาเหล้ากลิ้งขี้โคลนไปตั้งแต่บ้านเพื่อนจนถึงบ้านตน ทีนี้พอไปถึงบ้าน เมาเหล้าเข้าไป เมียมันก็ด่าๆๆ “ทำไมเจ้านี่โง่อย่างนี้ กินไม่รู้จักตัวเอง เมาแล้วไปเกลือกกลิ้งโคลนที่ไหนมา ฯลฯ” ด่าผัว ทีนี้ก็ไล่ผัวไปนอนที่อื่น ยาโมไม่ได้รับการปรนนิบัติเหมือเตโชมิหนำซ้ำโดนไล่อีกต่างหาก มันก็กลับมาหาเพื่อนแล้วก็เอ่ยว่า “นี่ สหายเรา เมียเราทำไมไม่เหมือนเมียของสหาย ไปคนละอย่าง จิตใจมันเหี้ยมจัง” แล้วทีนี้อีกวันยาโมก็บอกว่า “นี่ สหาย พรุ่งนี้เราไปเอาช้างกันไหมมีในป่านะ มีเยอะแยะเลย” แล้วเตโชนั้นว่าคุยกันกับเมียมันว่า “นี่ น้องรัก พรุ่งนี้เราจะไปเอาช้างในป่ากัน ช้างของเรานะ ไปไหม” เมียก็ว่า “โห ดีสิพี่ มันมีก็ไปเอาด้วยกันเลย” ทั้งสองผัวเมียก็ไปด้วยกัน เมียของเตโชก็ห่อข้าวห่ออะไรไป พอไปแล้ว ไปเห็นช้างเตโชก็บอกให้เมียว่า “เนียะ ช้างเราๆ” ช้างนั้นก็เข้ามาหา พอเข้ามาหาแล้ว ก็พูดว่า “เราจะเอากลับบ้านนะ” แล้วก็จูงช้างตัวจ่าฝูงนั้นไปช้างทั้งหลายก็ตามไปเป็นโขลงกลับบ้าน ทีนี้ก็เอาเข้ามาบ้านแล้ว ไปบอกให้สหายยาโมมาดู เมื่อยาโมเห็นแล้วก็ว่า “โฮ้ ได้ช้างมาทั้งโขลงเลยหรือนี่” เอาช้างป่ามาเป็นช้างตนเองได้ เพราะว่าคุยกันถูกรู้เรื่อง ถูกที่ มีความรักและศีลธรรมแล้วก็เลยเอาช้างมาเป็นของตัวได้ เป็นผัวเมียที่ถูกธรรม อยู่ในศีลในธรรม ทีนี้อีกวันสหายยาโมนั้นก็ไปชวนเมียมันบ้าง ไปเอาช้าง ช้างเรามีในป่า เมียมันก็ว่า “ช้างพ่อเฒ่าเจ้านะมันทำไมมีในป่า” เมียมันว่า ทั้งสองคุยกันไม่รู้เรื่องไม่ถูกกัน “พ่อเฒ่าเจ้านะไปมีช้างมีม้าที่ไหนมา” สุดท้ายก็ไม่ได้ช้างอะไรซักอย่าง ทีนี้ก็อีกวัน เตโชนั้นก็ว่า “เอ๊ สหายเรา เราจะไปเอาไก่ ไก่มีในป่าเป็นฝูงเลย” ทีนี้ก็ไป เตโชไปเอาไก่ พูดกันกับเมียๆ ก็ว่า “ป๊ะ เราไปป่ากันหากไก่เรามี เราก็ไปเอามา” ทีนี้ก็พากันไป ห่อข้าวห่อน้ำไป ไปพบไก่ป่าเป็นฝูง แล้วทีนี้กพูดว่า “เนียะ ไก่เราอยู่เนียะ เราจะเอามาเลี้ยงบ้าน ไปกุ๊ก ๆ กลับบ้าน” เอาไก่ตัวจ่าฝูงไปไก่ฝูงนั้นก็ตามมา จนมาถึงบ้าน แล้วก็ไปบอกให้เพื่อนอีกว่า “สหาย เราเอาไก่มาฝูงหนึ่ง ไก่เราไปปล่อยไว้ในป่าเมื่อก่อนนั้น” ยาโมก็ว่า “โฮ้ ของเราก็คงจะมีอยู่เหมือนเดิม” แล้วก็จะชวนเมียมันไป มาชวนเมียมันไปเมียมันก็ว่า “ไก่พ่อเฒ่ามึงสิมีในป่านั่นนะ” กลับโดนด่าอีก ทีนี้ก็มีอีกคนหนึ่งมาตัดสินว่า “เอ๊ สหายสองคนนี่มันไม่เหมือนกัน คนคู่ที่หนึ่งนั้นเขาถูกต้อง ว่าอะไรก็ฟังกัน สิ่งอันไหนต่างๆ ก็หลั่งไหลมาหา แล้วคู่ที่สองนี้มันไม่ถูกกัน ต่อไปนี้ให้ฟังกัน ถ้าใครว่ายังไงค่อยดูปรึกษากันเหมือนคู่ที่หนึ่ง จะได้มีเงินมีทองอย่างเขาบ้าง” เมื่อภายหลังมาคู่ของยาโมเขาก็ฟังซึ่งกันและกัน ฐานะก็ดีขึ้นมา เป็นดีขึ้นมาเรื่อยๆ

เรื่องของกรรม

นิทานมหัศจรรย์
กาลครั้งหนึ่งมีชายคนหนึ่งเป็นคนมีกรรมมาก ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่เคยเจริญ รุ่งเรืองกับใครเขาเลย กลับไปบ้านก็โดนเมียด่า กลุ้มใจอยู่ทุกวันก็คิดจะฆ่าตัวตาย แต่เพื่อนคนหนึ่งของเขาก็ทักท้วงว่า “อย่าทำอย่างนั้นนะเพื่อน กรรมห้าร้อยชาติมันจะมาทัน ยังไงก็หนีไม่พ้นห้าร้อยชาติหรอกนะ” “งั้นเราจะทำยังไงดีล่ะ” “เอางี้ ถ้าเพื่อนอยากจะตายก็ให้ไปที่ภูเขาลูกหนึ่ง ที่นั่นจะมีช้างอยู่แปดตัวกำลังตกมันอยู่ทั้งนั้น ให้เพื่อนไปที่ก้อนหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง ถ้าไปถึงแล้วก็ไปทุบก้อนหินนั้น ช้างก็จะออกมาแทงเพื่อนจนตาย” ชายคนนั้นจึงเดินทางไปยังภูเขาลูกที่เพื่อนของตนบอก แล้วก็ไปทุบก้อนหินก้อนนั้น ช้างทั้งแปดตัวก็ออกมาหมายจะเอางาแทงให้ตายติดกับก้อนหิน แต่กรรมของชายคนนั้นยังมาไม่ถึงก้อนหินก็กลับสะท้อนมาทุบช้างทั้งแปดตัวตายเสียหมด ชายคนนั้นก็ไม่รู้จะทำยังไงก็เลยเดินไปเรื่อยๆ จนถึงเมืองงู พอพวกงูเห็นมนุษย์เข้ามาในเมืองก็เลยคุยกัน “เฮ้ย มีคนเข้ามาถึงเมืองเรา เราจะกิน” พอดีว่าที่เมืองงูนั้นเสือผ่านมาได้ยินพอดี เสือก็บอกว่า “ไม่ได้ๆ มนุษย์นั้นมันมีปืนเดี๋ยวมันจะเอาปืนมายิงเราตายหมด ให้เจ้าอยู่ที่นี่นะ ข้าจะไปดูให้เอง เพราะว่าเวลาเจ้าไปนะเสียงมันดัง ข้านี้สิย่องเบาเดี๋ยวจะลากมาให้กิน ถ้าเจ้าได้ยินเสียงเปรี้ยงก็ให้รีบหนีไปซะ แต่ถ้าเจ้าได้ยินเสียงคนร้องดังจ๊ากๆๆ ก็ให้รีบเข้าไปนะ” เมื่อเสือนั้นเข้าไปกะจะตะครุบเอาชายคนนั้นมากิน เสือก็กระโจนเข้าไป แต่ว่าเสือนั้นกระโจนสูงและแรงไปหน่อยเลยข้ามหัวชายคนนั้นไปคาอยู่ที่กิ่งไม้ไปไหนไม่ได้ เมื่อชายหนุ่มคนนั้นเห็นเสือ ด้วยความตกใจสุดขีดลืมไปว่าตนนั้นอยากจะตายก็วิ่งหนีแล้วร้อง “จ๊ากๆๆๆๆ เสือๆ” เมื่อเหล่างูได้ยินนึกว่าเสือทำตามแผนสำเร็จก็เลื้อยเข้ามาอย่างรวดเร็ว ชายคนนั้นก็วิ่งๆไปไม่ได้มองวิ่งไปเหยียบงูตายไปหมด พอไปได้ซักระยะหนึ่งก็คิดได้ว่าตนเองนั้นอยาก จะมาตาย แต่ว่าไม่รู้จะทำอย่างไรเสียแล้ว ได้แต่เดินไปเรื่อยๆ จนไปเจอกับพระฤๅษีตนหนึ่ง พระฤๅษีนั้นก็แปลกใจ “มนุษย์ที่ไหนนะเข้ามาในเขตแดนแถวนี้ได้ ผ่านอสรพิษร้อยแปด ทั้งพญาเสืออีก” แล้วพระฤๅษีก็เดินเข้าไปหาชายคนนั้น “เจ้ามาได้อย่างไร” ชายคนนั้นก็ตอบพระฤๅษีเจ้าไปว่า “คือว่า ตัวข้าน้อยนี้อยากที่จะตายเจ้าข้า แต่ว่าเกิดเหตุการณ์ทำให้ข้านั้นไม่ตาย เหตุที่ข้านั้นอยากนั้นก็เพราะว่าข้านั้นทำอะไรก็ไม่เคยที่จะสำเร็จซักอย่างครับท่าน” พระฤๅษีท่านก็ให้ชายหนุ่มคนนี้ลองลุกและเดินไปเดินมาเพื่อที่จะดูอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มก็เดินไปเดินมาให้กับพระฤๅษีดู เมื่อดูและพระฤๅษีดูแล้วก็เอ่ยกับชายหนุ่มว่า “อื่ม เจ้านี่ตอนเกิดนั้นเจ้าแอบมาเกิดโดยที่เขาไม่ได้อนุญาต เขาเลยไม่ได้เอาอะไรให้เจ้ามาด้วย เจ้าเลยเกิดมาอย่างไม่มีอะไรซักอย่าง ทำอะไรก็ไม่สำเร็จเหมือนคนอื่นเขา นี่เจ้าไปหาลูกไม้หัวมันมาให้กับข้าหน่อยซิ” ชายหนุ่มก็ไปหาลูกไม้หัวมันมาให้ตามคำของฤๅษี เมื่อชายหนุ่มหาผลไม้มาให้แล้วฤๅษีก็ได้อวยพรให้กับชายหนุ่มแล้วบอกว่า “ให้เจ้านั้นเดินทางไปทางนี้นะ แล้วเจ้าจะไปเจอกับเมืองๆ หนึ่ง ลูกสาวเจ้าเมืองไม่สบายรักษาไม่หาย” แล้วพระฤๅษีก็ให้ห่อยาห่อหนึ่งให้กับชายคนนั้น ชายหนุ่มเมื่อได้ห่อยาแล้วก็เดินไปในทิศที่พระฤๅษีบอก เมื่อเดินไปเรื่อยๆ นั้นแล้วก็เดินไปพบกับเมืองๆ นั้นที่พระฤๅษีบอก ลูกสาวเจ้าเมืองก็ไม่สบายจริงๆ เจ้าหนุ่มนี้ก็ลองเข้าไปเพื่อที่จะลองรักษาลูกสาวเจ้าเมืองให้หายจากโรค เพราะว่าตนเองนั้นก็ไม่มีอะไรที่จะเสียอยู่แล้ว เมื่อเข้าไปแล้วเจ้าเมืองก็ให้รักษา แต่มีข้อแม้ว่าถ้ารักษาลูกสาวตนนั้นหายจะให้ครองเมืองครึ่งหนึ่งแล้วจะยกลูกสาวให้แต่งงานด้วย แต่ถ้าไม่หายนั้นจะจับไปประหารชีวิต เสีย เมื่อให้ชายหนุ่มคนนี้รักษาได้ซักพัก อาการของลูกสาวที่ทรุดโทรมนั้นก็ดีขึ้นมาเรื่อยๆ จนหายไปในที่สุด พญาเจ้าเมืองนั้นก็ให้เจ้าชายหนุ่มนั้นครองเมืองครึ่งหนึ่งแล้วก็ยกลูกสาวของตนนั้นให้เป็นเมีย อยู่มาเรื่อยๆ ชายหนุ่มคนนี้ก็เกิดความสุขสบายขึ้นมาไม่อยากที่ตายแล้ว เมื่อชายหนุ่มไปเปิดดูชะตาชีวิตของตนในพรหมชาตินั้นชีวิตของตนเองนั้นจะหมดเมื่ออายุได้ ๗๒ ปี เมื่อเป็นอย่างนั้นชายคนนี้ก็เลยจะลงไปอยู่ใต้พื้นสระน้ำในอุทยาน เพราะว่าตนนั้นมีวิชาที่ เรียนมาจากพระฤๅษีอยู่ติดตัว ชายคนนี้จึงลงไปอยู่ใต้บาดาลโดยเอาโซ่นั้นมัดที่อยู่ของตน ที่ใต้บาดาลเอาไว้ ก่อนที่จะลงไปอยู่มันก็ได้เอาราวตากผ้านั้นไปตั้งไว้รอบๆ สระน้ำและ ทั่วเมืองเพื่อที่จะกันทหารผีของพญายมราชติดตามได้ เมื่อถึงเวลาตายมันก็ลงไปอยู่ใต้น้ำ พญายมราชก็ให้ทหารออกตามหาคนที่ถึงฆาตรวมถึงชายคนนี้ด้วย เมื่อทหารตามหาวิญญาณผู้ตายจนเกือบครบแล้วเหลือแต่ชายคนนี้คนเดียวเท่านั้น ทหารผีก็ออกตามหาจนทั่วแต่ก็ไม่พบ เพราะว่าทหารผีนั้นลอดราวตากผ้าไปๆ มาๆ จนอาคมหรืออิทธิฤทธิ์เสื่อมลงต่างไม่รู้จะทำอย่างไรเลยพูดกันว่า “อิทธิฤทธิ์เรานั้นเสื่อมกันแล้วเพราะว่าเรานั้นไปลอดราวตากผ้ามา เราไปเอาน้ำขมิ้นส้มป่อยมาอาบสรงตัวให้ฤทธีเรากลับมากันเถอะ” ทหารผีทั้งหลายก็ไปยังที่สระน้ำในอุทยานเพื่อที่จะเอาน้ำมาแช่อาบ แต่เมื่อเดินไปนั้นกลับไปสะดุดกับโซ่ที่คล้องที่อยู่ของชายคนนั้นริมสระ ทหารผีทั้งหลายก็ลองสาวโซ่นั้น ขึ้นมาก็เจอชายคนนั้นและเอาวิญญาณของชายคนนั้นไปในที่สุด คนเรานั้นจะหลีกหนีความตายไปไม่ได้แม้จะหนียังไงหรือว่าเก่งกาจขนาดไหนก็ไม่สามารถที่จะหนีได้ ลูกเขยคนทุกข์ กาลครั้งหนึ่ง มีเศรษฐีคนหนึ่งชอบทำบุญทำทาน ชอบช่วยเหลือชาวบ้านชาวเมืองอยู่เป็นประจำ ต่อมาวันหนึ่งเศรษฐีก็คิดว่าหมู่บ้านเรานี้ยังไม่มีพระประธานเลย จึงอยากได้พระประธานไว้ประจำหมู่บ้าน จึงไปประกาศให้ชาวบ้านช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะได้พระประธานไว้ในหมู่บ้าน มีผู้หญิงคนหนึ่งก็อยากจะทำบุญกับคนอื่นๆ แต่ด้วยความยากจนไม่มีเงินมีทองเลย นางก็อยากได้เงินจะได้นำมาทำบุญด้วย ก็มาคิดว่าจะออกไปตัดฟืนไปขายหาเงินช่วยคนอื่นๆ หญิงคนนั้นก็ไปตัดฟืนคนเดียว ไม่ได้กินข้าวกินน้ำจนแสบท้องไปหมด ระหว่างที่ตัดฟืนอยู่นั้นก็มีชายคนหนึ่งมาถามว่า “จะตัดไม้ไปทำอะไรเหรอ” นางก็ตอบว่า “ท่านเศรษฐีท่านจะสร้างพระประธาน ข้าก็เลยจะเอาผืนนี้ไปช่วยเขา” ชายคนนั้นได้ฟังก็อยากจะทำบุญด้วย ก็เลยช่วยตัดฟืนจนได้เยอะแยะก็ช่วยกันหาบไปให้เศรษฐี พอสร้างพระประธานเสร็จก็มีการทำบุญ หญิงคนนั้นก็อธิษฐานว่าขอให้ได้ไปเกิดเป็นลูกเศรษฐี ส่วนชายคนนั้นก็ภาวนาว่าขอให้ได้ไปเกิดบนกองเงินกองทอง ต่อมาเมื่อทั้งสองคนตายไป หญิงคนนั้นก็ไปเกิดเป็นลูกเศรษฐี พอเติบโตเป็นลูกสาวเศรษฐี อยากได้ลูกเขยก็ประกาศให้เสนาอำมาตย์และชายหนุ่มทั่วทั้งเมืองมาให้ลูกสาวของตนเลือก หนุ่มคนไหนมาให้เลือกก็ไม่พึงใจ พ่อเศรษฐีก็จึงถามคนใช้ว่ายังมีผู้ชายในเมือง เหลืออีกไหม คนใช้ก็ตอบว่า “ยังมีผู้ชายอีกคนหนึ่งขอรับ มันเป็นคนยากจน มันไม่มีเสื้อผ้าจะนุ่ง มันอายก็เลยไม่มา” ท่านเศรษฐีก็บอกว่าให้ไปพาตัวมา พอคนใช้พาตัวหนุ่มยาจกคนนั้นหรือในอดีตชาติก็คือ ชายคนที่ช่วยนางตัดไม้นั่นมาถึงในบ้าน ลูกสาวเศรษฐีก็บอกว่าจะเลือกผู้ชายคนนี้เป็นสามี เศรษฐีได้ฟังก็เสียใจว่าลูกสาวจะเลือกคนยากจนอย่างนี้เป็นสามี ก็อับอายชาวบ้าน ชาวช่อง จึงบอกลูกสาวว่า “ลูกเอ๋ย ถ้าลูกจะเลือกผู้ชายคนนี้ พ่ออายชาวบ้านเขา พ่อจะแบ่งเงินแบ่งทองให้ลูกไปอยู่ด้วยกันเสีย อย่าอยู่ที่บ้านนี่เลย พ่ออายเขา” ทั้งสองคนก็เอาเงินทองที่พ่อเศรษฐีแบ่งให้นั้นไปอยู่กินกันที่กระท่อมเพียงสองคน เงินที่ได้มาก็เอาไปซื้อของกินของใช้หมดไปทุกวันๆ ชายคนนั้นจะไปทำงานที่ไหนก็ไม่พอกิน เงินก็หมดไปจนเหลือทองชิ้นสุดท้าย ลูกสาวเศรษฐีก็ว่า “พี่เอาทองนี้ไปขายในเมืองเถอะ” ฝ่ายชายหนุ่มผู้เป็นสามีมันเกิดมาก็ไม่เคยรู้จักมาก่อนว่านี่คือทองคำ ก็เถียงเมียไปว่า “นี่มันทองที่ไหนกัน มันเป็นข้างขวดต่างหาก จะให้พี่ไปขายได้ยังไง ข้างขวดนี่ที่พื้นกระท่อมมีเยอะแยะไป” เมียก็เลยถามว่า “ไหน พี่พาฉันไปดูซิ” พอชายหนุ่มพาลูกสาวเศรษฐีไปดู ก็ปรากฏว่าข้างใต้กระท่อมนั้นคือทองคำทั้งหมด พอไปบอกพ่อเศรษฐีมาดู ก็เห็นว่าเป็นทองคำจริงๆ ก็สั่งให้ใช้เอาเกวียนไปลากเอาทองคำนั้น ลากไปเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักหมด เศรษฐีก็ดีอกดีใจ เลี้ยงต้อนรับลูกเขย กลายเป็นว่าลูกเขยนั้น กลับร่ำรวยมีทองคำเต็มพื้นเรือน เลยได้เป็นมหาเศรษฐีกันไปทั้งผัวทั้งเมีย ตั้งแต่นั้นมาก็อยู่กินกันอย่างมีความสุขตราบชั่วนิรันดร์

แพะปราบยักษ์

นิทานมหัศจรรย์
แพะอู้กับพญายักษ์ว่า “ท่านพญายักษ์ผู้ยิ่งใหญ่ เป็นที่เคารพและเทอดทูนของข้าเจ้า ข้าเจ้ามาหาท่านวันนี้ก็อยากจะหันฤทธิ์เดชของท่าน อยากใคร่หื้อท่านแสดงฤทธิ์เดชของท่านหื้อบรรดาสัตว์หน้อยใหญ่หื้อได้ฮู้ได้หันได้ชมเป็นขวัญตา ท่านนะสามารถจะแสดงหื้อหมู่ข้าเจ้าได้หันได้ชมเป็นขวัญตาก่อ “ พญายักษ์ก็ว่า “อู๋ ข้าแสดงอะหยังได้หมด ข้าเป็นผู้ยิ่งใหญ่แล้วข้ากลัวอะหยัง ได้หมด ข้าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เจ้ามีความประสงค์จะหื้อข้าได้เยียะอะหยังละ“ “เออ ท่านผู้ยิ่งใหญ่ หากท่านจะแสดงหื้อหมู่ข้าเจ้าได้หันแล้ว ข้าก็ฮู้สึกยินดี ทีนี้ของเชิญท่านแปลงตัวจากท่านเป็นอันอื่นได้ก่อ“ “ได้ ว่ามาเต๊อะน่า” พญายักษ์ตอบ “ทีนี้ก็ท่านลองแปลงเป็นควายได้ก่อ” “อู้ ง่ายนิดเดียว” ทีนี้พญายักษ์ก็อ่านเวทย์มนต์ ก็กลายร่างเป็นควาย เมื่อเป็นควายแล้ว ก็ถามต่อไปว่า “ท่านจะแปลงตัวจากควายเป็นอันอื่นได้ก่อ” “เออ ได้ ว่ามา“ “ท่านลองแปลงเป็นหมูได้ก่อ“ “ได้ก่า“ ทีนี้ก็ร่ายเวทย์มนต์เป็นหมู ทีนี้ถามต่อไปว่า “นอกจากหมู ท่านแปลงเป็นไก่ได้ก่อ“ “เออ ได้ ว่ามา” ทีนี้พอแปลงเป็นไก่ได้แล้วก็ “อยากใคร่หื้อแปลงเป็นกบได้ก่อ” “เออ ได้”แปลงเป็นกบได้แล้วก็ “อยากใคร่หันท่านแสดงฤทธิ์หื้อหันชัดแถมกำ ท่านจะแปลงตัวหื้อเป็นตั๊กแตนได้ก่อ” “เออ ได้” ทีนี้ก็ร่ายเวทย์มนต์ถาถาเป็นตั๊กแตนแล้วก็เลยถามแถมว่า “สุดท้ายนี้ข้าเจ้าอยากหื้อท่านแแปลงเป็นหญ้าได้ก่อ” “เออ ง่ายนิดเดียว” ว่าแล้วก็ร่ายเวทย์มนต์หื้อเป็นหญ้า พอว่ายักษ์แปลงเป็นหญ้าแล้ว แพะก็ฉวยโอกาสตะครุบหญ้ากินเป็นอาหาร

แม่เลี้ยงใจร้าย

นิทานมหัศจรรย์
เรื่องก็มีอยู่ว่ามีบ้านอยู่หลังหนึ่ง เจ้าของชื่อสีมา เป็นชาวนาคนจน มีลูกผู้ญิงคนหนึ่งชื่อ ทอง แม่ตายไปไม่นาน พ่อก็เอาเมียใหม่เป็นแม่ม่ายลูกติด พ่อก็ไปทำงาน ให้ลูกเล่นอยู่กับบ้านสองคนกับตาลูกแม่น้า ส่วนพ่อก็ไปค้าไปขายไม่ได้อยู่บ้านสองสามวัน แม่เลี้ยงกับตาช่วยกันใช้ให้ทองทำการทำงานในบ้านทุกอย่าง ใช้ให้ไปเอาฟืน บังคับให้กินแต่ผลไม้ หัวมัน เอาฟืนมาบ้าน แม่น้าก็ว่า “เป็นยังไงมันทำไมไม่ผอม ข้าวกูก็ไม่ได้ให้มันกินมาก “ วันหลังมาแม่เลี้ยงก็บังคับเฆี่ยนตีทองให้บอกความจริงว่าทำไมถึงสมบูรณ์แข็งแรงดีอยู่ ทั้งๆ ที่ให้กินไม่มากมายอะไร แต่ลูกสาวก็ไม่บอก ส่วนลูกของแม่เลี้ยงก็ไม่ทำงานอะไรได้แต่กินนอน แต่งตัวเท่านั้น วันหลังมาทองลุกนึ่งข้าวไปเห็น เห็นหมาผอมตัวหนึ่งเอ็นดูหมา ก็เอาข้าวให้มันกิน แม่น้าก็เห็นก็เอามีดฟันหมา ๆ ก็ร้องวิ่งไป ภายหลังก็ไล่ทองไปนอนกับหมา มดแมงก็ไม่ไต่ตอม นกก็มาสับกินยุงกินเรือด ไม่ให้รบกวน เพราะว่าแต่ก่อนนี้ ทองได้เอาข้าวเอาอะไรมาให้นกให้หนูกิน ทีนั้นก็ไม่มีอะไรมาขบกัด มดก็ทำสะพานให้ข้าม มดไม่ลืมบุญคุณของทอง ตั้งแต่นั้นทองก็งามกว่าลูกของแม่เลี้ยง แม่น้ามันก็เกิดอิจฉาทอง ก็ให้ลูกตัวมานอนบ้าง พอมานอนยุงก็กัดอยู่ที่ไหนไม่ได้ร้องไห้ไปหาแม่มัน นอนหลับไม่ได้ ลูกสาวแม่น้าก็บอกให้แม่มันมานอนแทน แม่มันมานอนแล้วก็เฆี่ยนทองอีก “มึงเป็นยังไงยุงไม่ขบกัด เป็นยังไงลูกกูไปนอน ทำไมยุงถึงกัด” แม่เลี้ยงก็เฆี่ยนตีทองอีก หมาตัวนั้นก็วิ่งมา เพราะได้ยินเสียงร้องไห้เพราะแม่น้ามันตี หมาก็วิ่งมาๆ พบทองๆ ก็น้ำตาไหล หมานั้นก็ล่นมาหา ทองมาดูที่หลังหมา แผลมันหายดีแล้ว น้ำตาของทองนั้นก็ได้หยดลงที่ตัวหมานั้น หมาก็กลับกลายเป็นเจ้าชาย เป็นลูกพระยาเจ้าเมือง เมื่อภายหลังก็เลยเอาทองไปเป็นเมียไปอยู่ในพระราชวัง ทองก็เอาพ่อมันไปอยู่ด้วยในวัง ภายหลังหมาป่าเข้ามาในบ้าน แม่น้ามันเห็นก็เรียกลูกมัน “เร็วๆ ลูกเอาข้าวให้มันกินเยอะๆ” หมานี้มาถึงตัวก็มากัด มากินสองแม่ลูกนั้นเสีย