จำนวน 3 เรื่อง

ชะตาวอก มะกอกแห้ง

นิทานชีวิต
มีนางเกสีผู้หนึ่ง เป็นเมียอ้ายทุคตะคือว่าคนที่ยากจนแสนเข็ญ อยู่มาทุกเมื่อเชื่อวันนางเกสีก็เป็นผู้ที่หาเลี้ยงฝ่ายผัวโดยออกไปเป็นคนขอทาน ก่อนออกจากบ้านนั้นนางผู้นี้ก็จะทำกับข้าวให้กับผัวแล้วตนเองก็ไปกินเอาข้างหน้า อยู่มาไม่นานพระพุทธเจ้ามาบิณฑบาต ที่เมืองนี้ ๗ วัน นางเกสีก็ไปใส่บาตร ตื่นมาก็หุงข้าวแต่งดาอะไรเสร็จแล้ว หุงข้าวแบ่งใส่หม้อเอาไว้หื้อผัวทุคตะ แล้วนางก็ไปใส่บาตรแล้วเลยไปหากินทางข้างหน้า นางเกสีทำอย่างนี้จนครบ ๗ วันพระพุทธเจ้าบิณฑบาต ๗ วันเสร็จแล้ว อยู่ไม่นานยักษ์มาถึงที่เมืองแห่งนี้ ไอ่ทุคตะก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟมันเข้าใจว่าเพราะเมียของมันนั้นใส่บาตรพระพุทธเจ้าจึงทำให้ยักษ์มาที่เมืองแห่งนี้ “ข้าไม่รู้กับเจ้านะเรื่องเนี้ย เป็นแต่เมียนะใส่บาตร ฮาว่าจะไปใส่บาตร” มันก็กลัวว่าคนทั้งหลายจะยับตัวมันนั้นไปให้ยักษ์กินเป็นอาหาร มันว่าเป็นแต่เมียมันไปใส่บาตรพระพุทธเจ้า แล้วบอกให้ยักษ์มา “ไม่เป็นไรพี่ ถ้าเขาจะเอาตัวพี่ไปให้ยักษ์นั้นข้าจะไปแทนเอง ข้าขอเสียสละเอง” วันจะไปนั้นนางเกสีผู้นี้ได้สั่งอำลาผัวรักจนเรียบร้อย ตั้งนี่ไปจะไม่ได้อยู่ร่วมกันกับอ้ายทุคตะ ไม่ได้อยู่ร่วมกันแล้ว มันยังหุงหาอาหารแต่งดาให้กับอ้ายทุคตะเป็นมื้อสุดท้าย “ถึงแค่วันนี้นะที่ข้าจะได้ดูแลพี่นะ หลังจากนี้ไปข้าคงไม่ได้ดูแลพี่แล้ว” แล้วนางก็ไปที่สำนักที่พักศาลาในป่าที่ยักษ์จะมากินคนที่เมืองนี้เอาไปให้ นางก็ขึ้นไปอยู่บนศาลา พระพุทธเจ้ารู้ด้วยญานวิเศษแห่งพระองค์ ก็ได้เนรมิตกายตนนั้นเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งเข้าไปหานางเกสีผู้นี้ “นี่....นางมาทำอะไรอยู่ที่นี่?” นางก็เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้กับพระพุทธเจ้าที่แปลงกายมาฟังทุกอย่าง “เอ ก็คนอื่นเขาทำไมไม่เอามา คนงามคนดีอย่างนางนี้ไม่สมควรที่จะเอามาเนาะ น่าเสียดาย” “ถ้าท่านเอาข้าไว้ได้ก็เอาไว้เถอะ” พระพุทธเจ้าก็ขึ้นไปนั่งบนศาลากับนางเกสีผู้นั้น ซักพักยักษ์ก็มาถึงที่ศาลาแห่งนั้น ยักษ์ก็เอ่ยขึ้นว่า “ไอ่หล้าสันออง จะกินสองอัน “ ชายหนุ่มที่พระพุทธเจ้าแปลงกายนั้นก็ว่า “จะกินทั้งสองจริงหรือ จะกินก็กินสิ” ยักษ์อ้าปากกะจะงับกินทั้งสอง ก็ด้วยอนุภาพแห่งพระพุทธเจ้านั้นทำให้ยักษ์ไม่สามารถที่จะงับปากได้ก็อ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าก็ได้สอนสั่งยักษ์ตนนั้นด้วยเรื่องของศีล ๕ ให้กับยักษ์ฟัง ยักษ์ก็ทราบถึงเรื่องราวของศีล ๕ แล้วก็ขอรับเอาศีลไปเป็นแนวการปฏิบัติตน แล้วพระพุทธเจ้าที่แปลงกายเป็นชายหนุ่มนั้นก็หันมาพูดกับนางเกสีว่า “นี่นาง เราไม่ใช่คนธรรมดานะ ตัวพระพุทธเจ้าก็คือเรานี่แหละ” เมื่อเรื่องราวผ่านพ้นไปแล้วพระพุทธเจ้ก็ให้นางกลับบ้าน นางก็น้อมไหว้ลาองค์พระพุทธ แล้วก็เดินทางกลับบ้าน ในระหว่างทางพญาอินทร์ก็เนรมิตตนเป็นคนแก่มานั่งอยู่กลางทางแล้วถามนางเกสีที่เดินผ่านมาว่า “นางไปไหนมาหรือ” นางก็บอกเค้าเล่าเรื่องให้คนแก่นั้นฟังจนหมด “มึงอยากได้เงิน อยากได้ทองรึเปล่า” “เราอยากได้สิท่าน” “ได้แล้วนางจะเอาไปทำอะไรหรือกับเงินทองทั้งหลายนะ” “ข้าก็จะเอาไปใช้จ่ายเลี้ยงดูชีวิตและจะเอาทำบุญทำทานตลอดไปนะ” พญาอินทร์ก็บอกกับนางเกสีว่า “ที่ต้นตาล ๔ ต้น ไปเอาเถอะ จะเอาช้างม้าวัวควายมาขนเอา ๒ วัน ๓ วันก็ไม่หมด” เมื่อไปถึงบ้าน อ้ายทุคตะก็คิดว่านางคงจะหนีมาแน่ๆ เพราะว่าคนอื่นที่ไปไม่เคยมีใครเลยที่จะกลับมา เมื่อเจ้าทุคตะเห็นเมียของมันกลับมาที่บ้านดังนั้นมันก็กล่าวว่า “อันนี้ข้าไม่รู้เรื่องกับเจ้าด้วยนะ” เมื่อเจ้าทุคตะโวยวายอย่างนั้นทำให้เพื่อนบ้านได้ยินเรื่องราวที่นางเกสีนั้นรอดกลับมาจากยักษ์ เรื่องราวนั้นก็แพร่กระจายไปจนถึงหูของพญาเจ้าเมือง พญาเจ้าเมืองก็เรียกนางผู้นี้เข้าไปหาเพื่อสอบถามถึงเรื่องราวต่างๆ ว่านางกลับมาได้อย่างไร นางก็เล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบให้กับเจ้าเมืองฟังตั้งแต่ต้นจนนางกลับมาได้ พญาเจ้าเมืองก็ถามอีก “แล้วเมื่อใส่บาตรพระพุทธเจ้านั้น นางได้อธิฐานขอว่าอย่างไรบ้าง” “หม่อมฉันก็ขอว่าอยากที่จะเป็นเศรษฐีเจ้าคะ” พญาเจ้าเมืองคิดในใจว่านางผู้นี้นั้นคงเป็นผู้ที่มีบุญญาธิการจึงใหรับเอานางผู้นี้มาเป็นสนมของพระองค์อีกคน เมื่อพญารับนางเข้ามาอยู่ในวังแล้วในคืนนั้นนางเกสีผู้นี้ก็เอ่ย ปากขอพญาว่า “ท่านพี่ หม่อมฉันอยากให้ท่านพี่สร้างเรือน ๙ ห้อง ๙ หลังให้กับหม่อมฉันนะ” “นางจะเอาไปทำอะไรตั้งมากมายเรือนใหญ่ขนาดนั้น และตั้ง ๙ หลัง” “หม่อมฉันจะเอาเป็นที่เก็บเงินที่ขนมาจากต้นตาล ๔ ต้นนั้นนะ” พญาเจ้าเมืองก็ทำตามคำขอแห่งนางแต่ว่ามีข้อแม้ว่าถ้าเกิดมันไม่มีตามที่นางพูดนั้น นางเกสีต้องยอมพญาทกอย่าง ถึงขั้นว่าให้ตัดหัวก็ยอม เมื่อพญาสั่งให้ทหารสร้างเรือน ๙ ห้อง ๙ หลังนั้นเทวดาบนชั้นฟ้าก็ได้ลงมาเนรมิตรช่วยจนเสร็จภายในวันเดียว หลังจากนั้นนางก็ได้ทำการบวงสรวงเทพยดา แลผีสางต่างๆ ที่ปกป้องขุมทรัพย์นั้น เมื่อเสร็จพิธี นางก็ให้ทหารขุดหลุมลงไปก็เจอสมบัติเหมือนที่พระอินทร์บอกทุกอย่าง นางก็ขนสมบัติทั้งหลาย เหล่านั้นเข้ามาเก็บไว้ยังเรือน ๙ ห้อง ๙หลังนั้นทุกวันๆ จนเต็มเรือนที่สร้างแต่สมบัติทั้งหลายเหล่านั้นที่ขนมาก็ยังไม่หมด หลังจากที่ได้สมบัติแล้วนั้น นางเกสีก็ได้เปิดโรงทานให้กับชาวบ้านชาวเมืองทั้งหลายที่มีฐานะยากจนให้มารับทานอยู่เรื่อยๆ เป็นเวลานานหลายปี นางเกสีก็ยังมีใจคิดถึงอ้ายทุคตะสามีเก่าอยู่อยากที่จะช่วยเหลือ นางจึงให้ทหารนั้นไปเรียกอ้ายทุคตะคนนี้มาหา นางเกสีที่ประตูราชวัง นางเกสีก็ได้เตรียมกล้วยให้อ้ายทุคตะหวีหนึ่ง แต่ข้างในกล้วยนั้น นางได้เอทองคำยัดใส่ข้างใน เมื่ออ้ายทุคตะมาถึง นางก็เอากล้วยให้แล้วสั่งย้ำนักย้ำหนาว่า “ให้เอากล้วยนี้กลับไปกินที่บ้านนะ ถ้าใครถามซื้อหรือว่าขอก็อย่าเอาให้เด็ดขาดนะ ต้องเอากลับไปกินที่บ้าน” เมื่ออ้ายทุคตะนั้นรับกล้วยแล้วก็เดินกลับมาที่บ้านพักนั้น พอมาถึงครึ่งทางมันก็เอากล้วยได้มานั้นเอามาแลกเกลือเพราะว่าเกลือที่บ้านของมันนั้นหมดพอดี เมื่อได้เกลือแล้วมันก็เดินกลับบ้านดำเนินชีวิตเหมือนเดิม ส่วนแม่ค้าเกลือที่ได้กล้วยหวีนั้นไปก็เอากล้วยที่ได้ เอามาขายที่ตลาด วันนั้นนางคนใช้ของนางเกสีก็เดินมาหาซื้อของที่ตลาดก็ไปเจอกล้วยหวีนั้นที่มีทองซุกข้างใน นางเห็นว่ากล้วยหวีนี้สวยงามดีก็เลยซื้อกลับมาที่ตำหนักของนางเกสีเอากล้วยหวีนั้นมาถวายให้ เมื่อนางเกสีได้เห็นกล้วยหวีนั้นและปลอกกินก็รู้ทันทีว่าอ้ายทุคตะไม่ได้เอากล้วยที่นางให้กลับไปกินที่บ้าน นางจึงคิดอยากที่จะช่วยอ้ายทุคตะอีกครั้ง คราวนี้นางก็เอาทองซุกในก้อนข้าวแล้วเอาใบตองมาห่ออยู่ห่อหนึ่ง วันรุ่งขึ้นก็เรียกตัวอ้ายทุคตะมาอกแล้วก็เอ่าอข้าวนั้นให้ไปพร้อมกับสั่งว่า “ให้เอาห่อข้าวนี้กลับไปกินที่บ้านนะ ห้ามเอามากินที่ถนนหนทางหรือว่าแม่น้ำเด็ดขาดนะ” แล้วก็ให้อ้ายทุคตะนั้นกลับบ้านไป พอมันเดินกลับบ้านมันก็เลาะมาตามข้างแม่น้ำใหญ่มา พอดีว่ามีท่อนซุงไหลน้ำมา มันก็คิดในใจว่า “เอ... ท่อนซุงนี้เหมาะแท้” มันก็ลงไปนั่งบนท่อนซุงนั้นไหลน้ำต่อไป แล้วก็แกะห่อข้าวกินบนท่อนซุงนั้น ใจมันนั้นยังรักความสะอาดอยู่มันก็ว่า “เออ ยังไม่ได้ล้างมือ ต้องล้างมือก่อนกินข้าว” พอมันก้มล้างมือ ไม้ซุงนั้นก็คว่ำหมุนลง ห่อข้าวนั้นก็ตกน้ำไป ปลาสวายตัวหนึ่งก็ว่ายมางับห่อข้าวยัดใส้ทองนั้นไปเสีย พอปลานั้นว่ายไปเรื่อยๆ ก็ไปติดแหของพรานหาปลา เมื่อพรานปลาเอาปลาสวายขึ้นมาก็เอะใจว่าทำไมท้องปลาถึงใหญ่ขนาดนั้น จึงนำปลาไปขายที่ตลาด นางคนใช้ของนางเกสีได้เดินจับจ่ายในตลาด นางก็ได้ไปเห็นปลาสวายตัวนั้นสวยงามเนื้อแน่นดี ก็ซื้อปลานั้นไปให้ในครัวทำอาหารให้กับนางเกสีเสวย พอดีกับที่นางเกสีมาตรวจในครัวก็เห็นแม่ครัวกำลังผ่าท้องปลา และก็พอเห็นห่อข้าวห่อนั้นนางเกสีก็จำได้และก็รู้ว่าอ้ายทุคตะไม่ได้ทองนั้นอีกแล้ว นางเกสีจึงได้ทำห่อข้าวห่อหนึ่ง ห่อแกลบห่อหึง ห่อขี้เถ้าห่อหนึ่ง ห่อทองคำสามห่อ แล้วนางก็เรียกอ้ายทุคตะมาอีกรอบแล้วให้หยับเอาห่อต่างๆ เหล่านั้นสามห่อ นางก็กะ ว่าอ้ายทุคตะนั้นคงจะหยิบห่อทองซักห่อหนึ่งหรือว่าสองห่อ ถ้าโชคดีก็ได้สามห่อเลย เมื่ออ้ายทุคตะมาถึงก็ยิบเอาห่อเหล่านั้นสามห่อ พอแกะห่อออกมาดูอ้ายคนนี้ก็ได้ห่อข้าว ห่อแกลบ และห่อขี้เถ้า ไม่ได้ห่อทองซักห่อ นาวเกสีก็เอ่ยขึ้นมา “เอ.... อ้ายทุคตะนี้เราไม่สามารถที่จะช่วยได้แล้วจริงๆ แม้แต่พญาอินทร์ก็ไม่สามารถที่จะช่วยได้แล้ว” เมื่อนางเอ่ยอย่างนั้นมันก็ทำให้ที่นั่งของพญาอิทราธราชเจ้านั้นแข็งกระด้าง พญาอินทร์ก็รู้ถึงเรื่องราวที่นางอยากจะช่วยอ้ายทุคตะนั้นแต่ก็ช่วยไม่สำเร็จ พระองค์ก็แปลงกายเป็นคนแก่ลงมาแล้วเอาหน้าไม้ให้อ้ายทุคตะให้ยิงไป “ให้เจ้ายิงหน้าไม้นี้ออกไปนะ ถ้าตกแผ่นดินที่ไหนจะให้ขุดดินขึ้นมาลึกวาหนึ่งกว้างวาหนึ่งแล้วเอามาชั่งดูว่า ถ้าได้น้ำหนักเท่าใดนั้นเราจะให้ทองคำเท่ากับน้ำหนักของดินนั้น” แล้วอ้ายทุคตะนั้นก็เอาหน้าไม้ยิงออกไป ลูกหน้าไม้นั้นก็ไปตกปักมะกอกแห้ง ซึ่งน้ำหนักของมะกอกแห้งนั้นไม่มีเลย พญาอินทร์ก็เอ่ยได้อย่างเดียว “โอ้ ชะตาของเจ้านั้นไม่มีใครที่จะช่วยได้ แม้แต่พญาอินทราธิราชก็ไม่สามารถที่จะช่วยได้แล้วจริงๆ” นี่แหละที่คนเขาว่า ชะตามะกอกแห้ง ตกอับโชคชะตานั้นไม่ดี ต้องช่วยตัวเองอย่างหวังที่จะพึ่งโชคชะตาอย่างเดียว

สามพี่น้อง

นิทานชีวิต
มีสามพี่น้องเป็นลูกของพญาเจ้าเมือง เมื่อเติบโตเป็นหนุ่มพ่อแม่ก็ส่งให้ไปเรียนวิชาปัญญาที่เมืองตักกสิลากับพระฤๅษี สามพี่น้องนั้นก็เรียนวิชาจนจบชำนาญกันหมด แล้ว ทั้งพี่ทั้งน้องต่างก็อวดว่าตนเองนั้นเรียนจนจบได้ปัญญามาหมดแล้ว ก็พากันไปขอลาพระฤๅษีกลับบ้านเมืองของตน ทั้งสามคนพี่น้อง เดินทางมาถึงบ้านหลังหนึ่งก็หิวข้าว ก็เลยชวนกันหยุดกินข้าวที่ข้างทาง และได้ตกลงกันว่าน้องสุดท้องไปตักน้ำ พี่คนสองไปหาฟืน พี่คนโตก็บอกว่า “พี่จะไปขอไก่ก็แล้วกัน” ที่บ้านหลังใกล้ๆ นั้นมีแม่เฒ่าคนหนึ่งกำลังตำข้าวอยู่ เมื่อแม่เฒ่าเห็นก็ถามพี่ชายคนโตว่า “หลานเฮ้ย จะไปที่ไหน” พี่ชายคนโตนั้นก็บอกกลับไปว่า “ผมสามพี่น้องไปเรียนวิชาปัญญาที่เมืองตักกสิลามา จะกลับบ้านนะเลยแวะกินข้าวที่ศาลาที่พักใก้ลๆ นี้ และตอนนี้กะว่าจะมาขอไก่ของแม่เฒ่านะ” แม่เฒ่านั้นก็ตำข้าวอยู่ มีไก่ตัวผู้มาสับกินข้าวตัวหนึ่ง แม่เฒ่าก็คว้าคอไก่ตัวนั้นแล้วถามว่า “หลาน ไก่ตัวนี้หลานว่าแม่เฒ่าจะฆ่า หรือว่าแม่เฒ่าจะปล่อย หากหลานแก้ปัญหานี้ได้แม่เฒ่าจะให้ไก่ตัวนี้ไป หากแก้ไม่ได้ก็ไม่ได้กินไก่ละ” พี่ชายคนโตแก้ปัญหาไม่ได้ พอดีว่าน้องคนรองหาฟืนมาแล้วก็มาหา พี่ชายคนโตก็เล่าเรื่องราวให้ฟัง น้องรองนั้นก็จะไปลองดู “เราขอไปลองซักครั้ง มันจะซักเท่าไหร่เชียว” พอน้องรองไปถึงบ้านมาเฒ่านั้นก็เจอเหตุการณ์เดียวกันเลย น้องรองก็ตอบไม่ได้ ก็กลับมาที่ศาลาที่เดิม น้องเล็กก็หาบน้ำมาถึงที่ศาลาก็ถามถึงไก่ พี่ทั้งสองก็ทำหน้า หนักใจแล้วก็บอกให้น้องเล็กไปขอไก่ที “น้องเล็กเจ้าไปเถอะไปขอไก่มาหน่อย พี่ไม่สามารถที่จะเอาไก่มาได้” น้องเล็กก็ไปที่บ้านแม่เฒ่านั้น น้องเล็กก็เจอเหตุการณ์เดียวกับพี่ชายทั้งสองเลย “หากหลานตอบแม่เฒ่าได้ว่าแม่เฒ่าจะฆ่าหรือว่าจะปล่อยไก่ตัวนี้ ถ้าตอบได้ก็เอาไก่ไป ถ้าตอบไม่ได้ไม่ต้องกินละไก่ตัวนี้” น้องคนสุดท้องนั้นก็กระโดดขึ้นไปอยู่ที่กลางบันใดบ้านขวางไว้แล้วถามแม่เฒ่าว่า “แม่เฒ่าว่าข้าจะขึ้น หรือว่าข้าจะลงถ้าตอบได้ข้าก็จะไขคำตอบของแม่เฒ่า ถ้าแม่เฒ่าไม่ตอบข้าก็จะขวางบันใดอยู่อย่างนี้แหละไม่ต้องขึ้นบ้านขึ้นเรือนกันละ ถ้าแม่เฒ่าตอบ ผิดข้าจะเอาไก่ตัวนั้นไปเสีย” แม่เฒ่านั้นเจอกลซ้อนกลอย่างนี้ตอบไม่ได้ก็เลยบอกน้องคนสุดท้องไปว่า “เจ้าลงมาจากบันใดบ้านข้านะข้าจะขึ้นเรือน” “อ้าว ขึ้นไปทำไมละแม่เฒ่า ข้าวยังตำไม่เสร็จเลยนี่” “ก็ขึ้นไปต้มไก่ตัวนี้ทำอาหารให้กับพวกเจ้าไงละ”

สามัคคี

นิทานชีวิต
มีสหายสนิทกันสี่คน คนหนึ่งนั้นมีแรงมากมาย คนที่สองนั้นใช้ลูกคิดได้เก่งได้เร็วแม่นยำในการคิดคำนวณ คนหนึ่งนั้นไม่เก่งอะไรแต่ว่าหน้าตาดีหล่อเหลา คนสุดท้ายนั้นมันเป็นคนที่ ดวงจะทำอะไรนั้นก็สบายเพราะว่าชาติก่อนนั้นมันทำบุญมามากให้ทานรักษาศีล ปฏิบัติตนนั้นอยู่ในศีลในธรรมชาตินี้มันเลยเป็นคนที่ดวงดีโชคดี ทั้งสี่คนนี้ก็ได้ปรึกษากันว่า “เราลองไปต่างเมืองดีไหม เผื่อว่าเรานั้นจะได้มีงานมีการทำจะได้สบายกันในวันหน้า” เมื่อเจรจาพูดคุยตกลงกันได้อย่างนั้นแล้วทั้งหมดก็พากันเดินทางไปต่างเมืองเพื่อที่จะหาเงินเพื่อความสบาย เมื่อเดินทางไปถึงต่างเมือง ทั้งหมดก็เข้ามานอนอยู่ศาลาที่พัก ริมทางกินอาหารที่ทุกคนเอาติดตัวมา พอถึงรุ่งเช้าทั้งหมดก็ตกลงกันว่าจะออกไปหางานทำ ชายคนที่มีแรงมหาศาลนั้นก็บอกว่า “วันนี้ข้าจะออกไปทำงานหาเงินก่อน เพื่อนๆ ข้าอยู่ที่นี่รอก่อนเดี๋ยวตอนเย็นๆ ข้าจะกลับมา” แล้วชายคนแรกก็ออกไปหางานทำข้างนอกเพื่อเอาเงินมา เมื่อชายคนแรกไปที่ตลาดก็ถามหางานตามที่ตนถนัด เขามุ่งตรงเข้าไปยังโรงข้าวเพื่อที่ขนข้าวเพื่อแลกกับเงิน เมื่อชายคนแรกตกลงกับเจ้าของโรงข้าวแล้วเขาก็ขนข้าวไปเรื่อยๆ คนอื่นนั้นขนทีละกระสอบแต่เนื่องจากชายคนนี้มีแรงมากจึงขนทีละสองกระสอบ จนตกตอนเย็นเลิกงาน ชายคนนี้ก็ได้รับค่าจ้างอยู่ ๑,๐๐๐ บาท ค่าแรงเป็นสองเท่าของคนอื่น เขาจึงนำเงินที่ได้นี้ไปซื้อข้าวปลาอาหารกลับมาที่ศาลาที่พักของเพื่อน “สหายๆ ข้ากลับมาแล้ว พร้อมกับอาหารเยอะแยะเลย” ทั้งหมดก็กินกันจนิ่มหนำสำราญหลายวันพอเงินหมด ชายคนที่สองก็อาสาอกไปหาเงินซื้ออาหารมาให้เพื่อนๆ ของตน ชายคนที่สองนี้มีหัวในการคิดคำนวณใช้ลูกคิดเก่ง เขาจึงเดินไปที่ตลาดพอดีว่าไปเจอพ่อค้าสองคนซื้อของมาแต่ว่าไม่สามารถที่จะตกลงกันได้ จึงถกเถียงกันเป็นการใหญ่ เมื่อชายคนนี้มาถึงก็เข้าไปเจรจาไกล่เกลี่ยถึงเรื่องราวให้ ชายคนที่สองนี้ใช้วิชาของตนคิดคำนวณแบ่งของตามความยุติธรรมให้ทั้งสองฝ่าย เมื่อพ่อค้าทั้งสองตกลงกันได้ก็ยินดีกับชายคนที่สองนี้เป็นอย่างมาก จึงได้แบ่งปันกำไรเป็นค่าตอบแทนให้ชายคนนี้ ๑,๐๐๐ บาทเพื่อเป็นการตอบแทน เมื่อชายคนที่สอง นี้ได้เงินมาก็ไปหาซื้อข้าวปลาอาหารรวมถึงของใช้มาให้เพื่อนๆ ของตนเอง เมื่อมาถึงก็เรียกเพื่อนของตน “สหายๆ ข้ากลับมาแล้วมากินอาหารเถอะ” ทั้งหมดก็อยู่ที่ศาลาที่พักอยากสุขสำราญไปเรื่อยๆ จนอาหารและของใช้ส่วนตัวเกือบจะหมด ชายคนที่สามก็อาสาเพื่อนๆ เพื่อที่จะออกไปหาเงินมาซื้ออาหารกลับมา ชายคนที่สามนั้นมีรูปร่างหน้าตาที่ดีเขาจึงเดินเข้าไปที่ตลาดแล้วอยู่แถวนั้น พอดีวันนั้น ลูกสาวเศรษฐีคนหนึ่งเดินเที่ยวซื้อของในตลาดก็มาเจอชายคนที่สามพอดี ลูกสาวพอเห็นชายคนนี้ก็เกิดพอใจในตัวของชายคนนี้ ชายคนที่สามได้เข้าไปเกี้ยวพาราสีพูดจาหยอกเย้าสาวจนสาวหลงใหล ชายคนที่สามก็ได้บอกกับลูกสาวของเศรษฐีว่า “นางฟ้าของข้า ข้านี้ไม่เหมาะกับนางเหลือเกิน ข้านี้เป็นคนยากจนช่วงนี้ก็เกิดขัดสนในการใช้ชีวิตเหลือหลาย ไม่เหมือนนางที่สบายสุขสำราญ” ลูกสาวเศรษฐีก็เกิดความสงสารในตัวของชายผู้นี้ก็ได้เอาเงินให้ชายผู้นี้ ๑,๐๐๐ บาทเพื่อช่วยในการดำรงชีวิต ชายคนที่สามนี้ก็ได้เอาเงินนั้นไปซื้อข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงเพื่อนๆ ของตนเอง พออาหารที่ซื้อมานั้นใกล้จะหมดก็เป็นหน้าที่ของชายคนที่สี่ เข้าก็ได้ออกไปเพื่อที่จะหางานทำ แต่ว่าไม่รู้จะทำอะไรจึงได้ไปนั่งอยู่ที่ริมถนนในเมือง ประจวบกับวันนั้นเจ้าเมืองได้สวรรคต ทายาทของเจ้าเมืองนั้นก็ไม่มี เหล่าเสนาอามาตย์ทั้งหลายก็ได้ตกลงกันว่า “เราจะปล่อยรถม้าออกไปในเมือง ให้มันวิ่งไป ถ้าเกิดว่ามันวิ่งไปหยุดที่ใครนั้นเราจะเอามาเป็นเจ้าเมืองแทน เพราะถือว่าผ้นั้นเป็นผู้ที่มีบุญญาธิการสูงแล้ว” เมื่อเหล่าเสนาอามาตย์ทั้งหลายตกลงกันอย่างนั้นก็ได้ปล่อยรถม้าออกจากพระราชวัง ม้าก็ได้วิ่งๆ ไปเรื่อยรอบเมืองจนในที่สุดก็ได้มาหยุดอยู่ที่ชายคนทีสี่ เนื่องจากชายคน ที่สี่นี้เป็นคนที่มีดวงดีเนื่องจากชาติก่อนนั้นเป็นคนที่อยู่ในศีลธรรมและได้กระทำบุญอยู่เป็น ประจำ ผลบุญจากชาติก่อนนั้นก็ได้ส่งผลในชาตินี้ เมื่อรถม้ามาหยุดอยู่ที่ชายคนนี้ เหล่าเสนา อามาตย์ทั้งหลายก็ได้นำตัวของเขายกยอให้เป็นเจ้าเมืองครองเมืองอย่างสบาย แต่ชายคนนี้ไม่ได้ลืมเพื่อนของตนเขาก็ได้ช่วยเหลือเพื่อนตนให้ได้ดีสบายกันถ้วนหน้า สิ่งเหล่านี้ถ้าก็เกิดมาจากการที่แต่ละคนนั้นกระทำบุญมาไม่เหมือนกันและมากน้อยก็ต่างกัน