จำนวน 60 เรื่อง

กระบอกอือฮือ

นิทานมุขตลก
ปู่คำมันจะแกล้งชาวเขมร วันหนึ่งปู่คำตัดบอกไม้มาบอกหนึ่งแล้วก็ตดใส่ในบอกหั้นตึงวัน พอวันที่จะเอาไปหื้อชาวเขมรดมก็ขี้ใส่แหมหน้อย แล้วก็ตึดปากบอก กำไปกายหน้าบ้านชาวเขมร เขมรก็ถามว่า “ปู่คำ นั่นถือบอกอะหยังน่ะ” “บอกอือฮือ” “บอกจะใดบอกอือฮือ อะหยังอยู่ในนั้น” “มึงใคร่รู้กา” “เอ่อ บอกอือฮือ เราบ่เคยหัน เราขอย่ำคำเต๊อะ “ของนี้บ่ใช่ของดีย่ำ เป็นของดีดม” ชาวเขมรก็ขอดม ปู่คำก็เอาบอกอือฮือยื่นหื้อ พอชาวเขมรรับมาก็เปิดดม แล้วรองออกมาว่า “อือฮือ เหม็น”

ขมุกับรถถีบ

นิทานมุขตลก
นายอำเภอคนหนึ่งออกท้องที่เยี่ยมชาวบ้าน ค่ำวันหนึ่งยังอยู่ในหมู่บ้าน อยู่ไปจนถึงเย็นที่บ้านขมุคนหนึ่ง นายอำเภอจึงถามขมุว่า “มีอะไรกินบ้างล่ะผู้ใหญ่” “โอ ท่าน ผมไม่ได้เตรียมอะไรไว้เลย” “ไม่เป็นไร เอ้า ผู้ใหญ่ เอาเงินนี่ไปซื้ออาหารที่ตลาดนะ ไกลไหมกว่าจะถึงตลาด” “ประมาณกิโลหนึ่งครับ ทางมันไม่ค่อยดี” “งั้นก็เอาจักรยานไปด้วยสิ อย่างเก่งครึ่งชั่วโมงก็คงถึง” ขมุไปนานมาก พอเข้ามาถึงบ้าน นายอำเภอถามว่า “ทำไมมาช้าเหลือเกิน” “มันติดก็ตรงรถถีบนี่นะ ถ้าผมเดินไปผมก็มาถึงตั้งนานแล้ว ผมถีบรถถีบไม่เป็น แต่นายอำเภอสั่งให้ผมเอาจักรยานไปด้วย ผมก็เลยต้องเอาไปด้วย”

ขมุหม่าข้าว

นิทานมุขตลก
มีขมุคนหนึ่งมารับจ้างทำงานกับคนไต หน้าที่ของขมุคนนี้คือหม่าข้าว(แช่ข้าว) ขมุทำทุกวันก็รู้สึกเบื่อ วันหนึ่งจึงบอกพ่อเลี้ยงว่า “พ่อเลี้ยงๆ ข้าบ่ไหวละเน่อ เมื่อไหร่ๆ ก็ให้ข้าหม่าข้าวทุกวัน” พ่อเลี้ยงก็ว่า “ไม่เป็นไร วันนี้ไม่หม่าข้าวก็ได้ ให้มึงไปตักน้ำมาก่อน” ขมุคนนั้นก็ไปตักน้ำมาใส่โอ่ง เสร็จแล้วพ่อเลี้ยงก็ว่า “ตักน้ำมาแล้วตักข้าวสารใส่เหียเน่อ” ขมุก็ไม่ทันคิด ก็ตักข้าวสารใส่ แล้วก็ไปนอนคิดดู พอคิดได้ก็มาคุยกับพ่อเลี้ยงว่า “งั้น วันนี้ข้าก็ได้หม่าข้าวอีกแล้วน่ะสิ”

ขมุเจ้าเล่ห์

นิทานมุขตลก
ไอ่แก้วเป็นขมุอยู่รับใช้พ่อเลี้ยงคำแดงที่ปางช้าง เช้าวันหนึ่งพ่อเลี้ยงสั่งหื้อผ่อไหข้าว “แก้วเอ๊ย มึงผ่อปางตวย ผ่อไหข้าวตวยเน่อ กูจะไปการกำ” ไอ่แก้วรับคำแล้วก็นั่งผ่อ ผ่อตึงปางและผ่อตึงไหข้าว ไฟก็ลุกโว่ๆ น้ำหมอนึ่งแห้ง ข้าวไหม้หมด พอสักเก้าโมง พ่อเลี้ยงปิ๊กมาหันไหข้าวไหม้ก็ว่า “โหะ ยังบ่ปลดไหข้าวเตื้อ ไอ่แก้ว” “บ่ปลดเตื้อ พ่อบ่สั่งปลดนี่” “ก็กูบอกหื้อผ่อ” “บอกหื้อผ่อ ผมก็ผ่อ” “คิงผ่อหยั่งใด เข้าสุกคิงก็ปลดก่า” “ก็พ่อเลี้ยงบ่ได้สั่งจะอี้ลู้” พ่อเลี้ยงเถียงมันบ่แพ้ ยอมก๊าน อยู่ต่อมาแหมวัน พ่อเลี้ยงก็ใช้ไปเฝ้าไหข้าวแหมและสั่งว่า “ถ้าข้าวสุกหื้อคิงปลดไหข้าวเหียเน่อ” ไอ่แก้วก็รับคำอย่างดี แล้วก็นั่งขดถวาย เอาขางาบเงิง กำเดียวผึ้งบินเข้าขามัน มันก็กล็อกน่องงับ ผึ้งจี้มัน มันก็ฟั่งง้างขาดีดไปถูกไหข้าวฟุ้งหมด บ่ได้กิ๋นสักกำ

ขึด

นิทานมุขตลก
ตะก่อนนี้มีขึด มาสมัยบ่ะเดี่ยวมันบ่มีละขึด สมัยก่อนนั้น มีอยู่คนหนึ่งมันเป็นบ่าวไปแอ่วสาว พอขึ้นเรือน สาวก็ว่า “ตะก่อนยังบ่มา” อี้ลู่ “บ่ได้มา ไปเยียะสวนถั่วดิน” “กำนี้กันมา เอามาหื้อพ่องเน่อ” “บ่เป๋นหยัง เอามาสองถงก่อน” “กอนเอามาก็มาอยู่บนหัวนี่ ตบฝาเต๊อะ ตึงจะลงมา” ทีนี้มันก็เอามาสองถง มาอยู่บนหัว ตบฝาอย่างใดก็บ่ลุก มันก็พัง ตึงบ่ลุก มันก็กินถั่วดินนั้นดึกเพียงใดก็กินถั่วดิน ถงปลาย ทีนี้มาก็ใคร่ขี้ อี่นั้นบ่ช่างเยียะใด ไปขี้ใส่ขันหมากแม่มัน บึดเดียวก็ใคร่ขี้แหมเมาะ ขี้ใส่กุบกะโหลกพ่อมัน อู้ไปอู้มาก็ขี้แถมเมาะ อี่นั้นก็ว่า “อั้นล้ำเหลือก็ไปขี้ใส่หลักงัวปู้นเต๊อะ ขี้แล้วหลักมันจ่อมเหียเน่อ” เอาหลักเข้าจ่อมเสียขี้สดใส่หน้าใส่ตาหมด ขึ้นเรือนมา โทะ เป็นขี้หมดกำนั้นบ่ช่างเยียะใด “ไปซ่วยน้ำห้อมปู้น หลังบ้าน” ไปซ่วยน้ำห้อมแม่มัน โทะ ดำหมดตึงเนื้อตึงตัว แจ้งมาจะเมือก็บ่ได้ละ อี่นั้นก็ว่า “ขึ้นอยู่บนค่วนปู้นอ้าย” ขึ้นอยู่บนค่วน ขึ้นอยู่ในบุ่งงิ้ว ซุกอยู่ในบุ่งงิ้วปู้น พ่อมันลุกนาเมื่อเช้า ไปใส่นา จะเอากุบสุมหัว โอะ ขี้ฮาดหัว “โอ้ อย่างใดนี่” อี่ล่อ “ไผมาขี้ใส่นี่ อี่หน้อย” “บ่ฮู้” แม่มันลุกมาจะไปกินหมาก “บ่ฮู้อี้ก็ขึดก่า” กำนั้นก็ไปหาตุ๊มาละ ตุ๊ตะก่อนคำสูตรซ้ำบ่มี ทีนี้ไปหามา ตนหัวทีก็มาหันใส่น้ำปุ้ม ก็ว่า “ปุม ปุ่ม ปุ้ม โทวา” มาแถมตนหนึ่ง มาปะใส่ไก่หน้อย แม่ลูกหน้อยนา “จิ๊บ จิ๊บ จ๊อบ จ๊อบ โทวา” มาแถมคนหนึ่งบ่ช่างเยียะใด กึ้ดหยังก็บ่ออก มาหันใส่แฮ้วก็ว่า “ก่องท้องน้อง โทวา” มาแถมตนหนึ่งบ่หันหยังสักอย่าง ขึ้นมาพร้อมกันหมดสี่ตน จะมาถอนขึดสี่ตนละ แหงนขึ้นไปบนเทิง บนค่วนนั้นก่า “หม่นส้นต้น โทวา” ไอ่ตัวนั้นก็วิดลงหั้น มันกลัวล่อ ล่นไป “ขึดไปแล้วๆๆ”

คนขี้เห่อ

นิทานมุขตลก
อันนี้เป็นเรื่องแก่บ้าน คือว่าบ้านหนึ่งก็ขาดแก่บ้านไป ชาวบ้านก็ไปเลือกมาก็ได้อ้าวมาเป็นแก่บ้าน ทีนี้เมื่อได้เป็นแก่บ้านแล้ว เปิ้นก็ตั้งหื้อไปรับตราตั้งที่อำเภอ ทีนี้เขาก็ไปรับตราตั้ง ตัดเครื่องแบบอะหยังเรียบร้อยแล้ว จุกจาอำเภอมาบ้านละ แต่งตัวโก้เท่ มาถึงก็ฮ้องลูกฮ้องเมียมาละ “อี่หน้อยๆ ไปบอกหื้อแม่มึงมาลอ บ่าเดี่ยวนี้นา พ่อได้เป็นใหญ่แล้วเน่อ ตั้งแต่นี้ไปจะกินข้าวกับสูบ่ได้แล้วเน้อ หื้อสูดาหื้ออี่พ่อที่หนึ่ง ทางอำเภอเปิ้นว่าอั้น” “เอ่อ ก็ดีละ” เมียมันอยู่ตังในเรือนเอิ้นมา “กำนี้ดีละนา กอนบ่ได้กินข้าวโตยกั๋น เรื่องนอนก็บ่ต้องนอนโตยกันเน่อ” “โอ เรื่องอันนั้นนา เปิ้นบ่ว่า เปิ้นว่าเรื่องกินข้าวบ่ดาย บ่เป็นหยังนอนโตยกันก็ได้” เมียมันก็เดือดว่า “บ่ได้ๆ กอนกินข้าวโตยกันบ่ได้ ก็นอนโตยกันบ่ได้ละ อี่หน้อยค่ำมานา อี่แม่จะหับประตูใส่แช่เหีย ท่าผ่อเต๊อะ” “บ่เป็นหยัง นอนนอกก็นอนนอก ข้าขอไปเยี่ยวตังในหั้นเน่อ” เรื่องคนขี้เห่อก็มีเท่าอี้

คนตาบอดลักไก่

นิทานมุขตลก
มีสองคนตาบอดไปลักไก่ของชาวบ้าน พอทั้งสองนั้นลักไก่ได้แล้วก็พากันเดินหลงทางไปชนบ้านนั้นบ้างชนต้นไม้บ้าง ทั้งสองก็พากันเดินวกวนไปมาอยู่นานแล้วไปลงน้ำคลำที่น้ำขังบริเวณหลังห้องครัว ไอ้ตาบอดคนหนึ่งก็บอกว่าบอกกับเพื่อนของมันว่า “ถึงแล้ว ถึงกลางทุ่งนาแล้ว น้ำเต็มนาเลย” มันมองไม่เห็น นึกว่าที่น้ำคลำนั้นเป็นกลางทุ่งนา ก็พากันจ๊อยๆ ซอๆ ร้องกันไป เจ้าของบ้านก็เลยถามไปว่า “ใครมาจ๊อยมาซอแถวนี้นะ” ไอ้บอดคนหนึ่งตกใจเดินไปเหยียบคราด คราดก็เด้งเอาด้ามมาฟาดหน้าตัวเอง มันก็นึกว่าเจ้าของไก่จับมันได้มันเลยร้องตอบขึ้นไปอีกว่า “ไม่ใช่ข้าคนเดียวนะ ลูกผู้ใหญ่บ้านอีกคนหนึ่ง”

คนปากบ่ดี

นิทานมุขตลก
แม่มาปะแหลบมันตึงปะแหลบสมชื่อ แจ้งมามันก็ด่าลูกตังวันๆ จนผู้เป็นผัวปอรำคาญ ว่าหยั่งใดก็บ่ได้ เป็นคนบ่ยอมฟังเหตุผลอะหยังซักอย่าง เอาก้าความคิดตนเองเป็นใหญ่ เอาก้าด่าลูกจนปอบ่าวไปแอ่วหาลูกสาวบ่ได้ จนลูกสาวเป็นสาวเฒ่า แต่ก็บ่พ้นกรรม ต่อมาลูกสาวก็ได้ผัว ทีนี้พอลูกสาวคนแรกได้ผัว คนที่สองก็ยังเคิ้นอยู่ ปู่มอยก็มาปรึกษากับลูกเขยว่าจะเยียะหยั่งใดจึงจะดัดสันดานเมียตัวเองคือย่ามาได้ พอปรึกษาไปปรึกษามาก็ว่าหื้อลูกชายไปทานขันข้าวหื้อย่ามาในวันเข้าพรรษา ลองผ่อมันจะปันพรช่างก่อ พอวางแผนเรียบร้อยถึงวันเข้าพรรษา ลูกเขยก็ดาข้าวเสร็จเรียบร้อยก็ขึ้นไปบนบ้านย่ามา พอลูกเขยขึ้นไปบนบ้าน ปู่มอยก็ลงบ้านเพราะว่ารู้เรื่องกันละ ปู่มอยก็สดลงบ้านไปวัดเหีย ละหื้อย่ายามารับขันข้าวคนเดียว ทีนี้พอลูกเขยแยงขันข้าวเรียบร้อยแล้ว ย่ามาก็ปันพรบ่ช้าง ยักซ้ายยักขวา แปงหั้นแปงนี่ มันบ่รู้ว่าจะปันพรอย่างใด เอาเข้าๆ ลูกเขยมันก็อดบ่ได้ “อี่แม่ เอาเหียกำแล่” ย่ามาก็เลยเอื้อมมือไปเปิดผ่อ “เอ้อ เห้ย...จิกปิกข้าวหนมจ็อก จ็อกป็อกห่อหนึ้ง แดงปึ้งหลึ้งมันแก๋ว แหลวล่องแล่งหลู้ เอาไปใส่ตู้หื้ออี่แม่กำ” อันนี้เป็นเรื่องของคนปากมากนักแล้วบ่ได้เรื่องได้ราว

ครอบครัวหูหนวก

นิทานมุขตลก
มีครอบครัวสามพ่อแม่ลูกครอบครัวหนึ่ง พิการหูหนวกกันทั้งบ้าน การที่จะสื่อสารกับคนอื่นนั้นหรือว่าจะฟังคนอื่นต้องอาศัยการอ่านปากเพื่อที่จะรู้และสามารถที่จะสื่อสารกับคนอื่นรู้เรื่อง บางทีก็ผิดบ้างถูกบ้างไปเรื่อยตามประสา วันหนึ่งผู้ใหญ่บ้านมาบอกให้กับครอบครัวนี้เรื่องของการประชุม เพราะว่าตอนเช้าประกาศไปแล้วแต่ก็ต้องมาบอกด้วยตัวเองเพราะรู้ว่าบ้านนี้คงไม่ได้ยิน “นี่จันทร์เป็ง พ่อกับแม่อยู่บ้านไหม?” “ไม่อยู่จ๊ะ” “งั้นฝากบอกพ่อด้วยละกันว่าคืนนี้ให้ไปร่วมประชุมที่วัดด้วยนะ จะประชุมกันถึงเรื่องเหมืองฝายและการปันน้ำเข้านานะ อย่าลืมบอกพ่อให้ไปประชุมนะ” เมื่อบอกแล้วผู้ใหญ่บ้านก็เดินกลับไป ทิ้งให้จันทร์เป็งถึงกับงง เพราะผู้ใหญ่ บ้านพูดเร็วและยาว จันทร์เป็งอ่านปากไม่ทัน พอพ่อกับแม่กลับมาจากนาจันทร์เป็งก็บอกแม่ว่า “แม่ เมื่อเช้าผู้ใหญ่บ้านมาบอกว่าจะมีคนมาถามซื้อที่ไร่ที่นาเรานะ” แม่ทำหน้าตกใจวิ่งไปถามพ่อว่า “นี่....พี่แก้ว พี่จะขายวัวควายหมดเหรอ ทำไมไม่บอกกล่าวปรึกษากันซักคำ” พ่อก็ตอบกลับไปอีกว่า “โอ้...ข้าไม่รู้เรื่องอะไรซักอย่าง ข้าอยู่ของข้านี่ไม่ได้ตดนะ อะไรอยู่ดีๆ มากล่าวหาว่าข้าเป็นคนตด”

ความขี้คร้าน

นิทานมุขตลก
มีครอบครัวอยู่ครอบครัวหนึ่ง อาศัยกันสามพ่อแม่และลูกชายอีกคน วันหนึ่งในฤดูฝน ในก็ตกปรอยๆ พ่อก็เอาวัวมามัดที่หลักใกล้เรือนแล้วก็ให้ลูกนอนเฝ้าที่หน้าบ้าน พ่อกับแม่นอนอยู่ในห้อง พอตกดึกลูกชายที่นอนเฝ้าวัวก็ได้ยินเสียงวัวสลัดเชือกหลุดจากหลักวิ่งไปทางหลังบ้านใกล้ๆ กับห้องของพ่อ ลูกชายจึงตะโกนเรียกพ่อ “พ่อๆ ตื่นๆ” พ่อตกใจตื่นขึ้นมาก็ตะโกนถามลูก “อะไร เกิดอะไรขึ้น” “วัวมันหลุดนะพ่อ” “หลุดก็ไปจับมันมามัดใหม่สิ” “ไม่เอาละพ่อ” “ทำไมไม่ไปวะ” “ก็ข้าหลับแล้วนะพ่อ” “..................”

คำปราศรัยของพ่อหลวง

นิทานมุขตลก
ครั้งหนึ่งที่หมู่บ้านไกลห่างจากเมือง ได้มีการจัดทอดผ้าป่าสามัคคีนำโดยท่านนายอำเภอ พอท่านนายอำเภอมาถึง ผู้ใหญ่บ้านก็ลุกขึ้นเพื่อที่จะกล่าวรางายเรื่องของงานครั้งนี้ และจะได้แจ้งเรื่องของยอดเงินที่ได้รับบริจาคเพื่อทำบุญ “สวัสดีครับท่านนายอำเภอที่เคารพรัก งานผ้าป่าที่จัดขึ้นในครั้งนี้นั้นอาจจะมีการตกหลุมตกร่องบ้าง ผมก็รู้สึกเสียใจมากครับ กินข้าวเที่ยงก็ตั้งบ่ายสองโมง เหตุก็เพราะพวกนี้แหละครับ” หลังจากที่ผู้ใหญ่บ้านกล่าวรายงานเรื่องราวต่างๆ เสร็จก็จะมีช่างฟ้อนออกมาฟ้อนต้อนรับในงาน แต่เหล่าช่างฟ้อนนั้นก็มัวแต่แต่งตัวเสริมสวยแข่งกันกลัวว่าตนเองจะไม่สวยหรือว่าสวยไม่เท่ากับคนอื่นๆ ซักพักก็มีคนประกาศเรียกช่างฟ้อนให้ออกมาฟ้อนต้อนรับได้แล้ว “ผู้ที่มีรายชื่อดังต่อไปนี้ให้ออกมาเตรียมฟ้อนได้แล้ว นางสาวสิน นางสาวเขย นางสาว ......ฯลฯ” ผู้ประกาศประกาศหลายต่อหลายรอบแต่ก็ยังไม่มีใครที่จะออกมาซักคน ผู้ใหญ่บ้านเกิดรำคาญขึ้นมาคว้าไมค์ประกาศ “อี่คำ อี่สิน อี่เขย อีพวกช่างฟ้อนเนี่ยออกมาได้แล้ว” สาวๆ ช่างฟ้อนทั้งหลายก็รีบออกมาฟ้อนต้อนรับทันที หลังจากที่ฟ้อนเสร็จผู้ใหญ่บ้านก็ออกมาประกาศรายชื่อผู้ที่บริจาคเพิ่มเติมอีก “ต่อไปเป็นรายชื่อผู้ที่บริจาคเพิ่ม คุณสมบูรณ์ ๒๕๐ บาท คุณสันติ ๒๕๐ บาท คุณพยอม ๕๐ บาท ต่อไปรายชื่อรวมๆกัน ทั้งหมดร่วมกันบริจาค ๒๐ บาท รวมกันทั้งหมดทั้งสิ้นได้ยอดรวม ๕๒๐ บาท” ผู้ใหญ่บ้านประกาศต่อท้ายไปว่า “ต่อไปนะถ้าใครที่จะร่วมบริจาค ขออย่าต่ำกว่า ๒๐ บาทต่อคนนะ”

ตาบอดขโมยฆ้อง

นิทานมุขตลก
มีตาบอดสองคนพากันไปลักฆ้องที่วัดเพื่อที่จะเอามาขาย พอมันไปถึงที่วัดไอ้บอดทั้งสองก็งมๆ หาห้องเก็บของเพื่อที่ไปเอาฆ้อง เมื่อทั้งสองลักฆ้องได้แล้วก็พากันหามฆ้อง ใบใหญ่เอาลงเรือไป ไอ้บอดทั้งสองก็ลงเรือแต่ว่าหันหน้าเข้าหากัน เพราะว่ามองไม่เห็นพายเรือ คนหนึ่งก็พาย อีกคนก็พายเหมือนกัน เรือก็ไม่ไปทางไหนซักที ต่างคนต่างพายนานพอสมควร มันก็นึกว่าตนมาไกลแล้ว “ไกลละเพื่อน มาตั้งแต่เช้าละ คงจะไกลละ” ทั้งสองก็พากันเข้าฝั่งแล้วก็ยกฆ้องลงมาที่ตีข้างฝั่ง อุ่ย... อุ่ย.... เพื่อที่จะทดสอบเสียงว่าเสียงดีไหม ที่แท้แล้วยังไม่ถึงไหนกันเลย ต่างคนต่างหันหน้าเข้าหากันพายเรือ มันก็ไม่ไปถึงไหนซักทีหมุนวนอยู่ที่เดิมนั่นแหละ สุดท้ายชาวบ้านก็มาตามเสียงฆ้องและรู้ว่าไอ้บอด สองคนนี้แอบมาขโมยฆ้องวัดไปขาย

ตายโหง

นิทานมุขตลก
บ่าศรีมีงัวล้อ จะลากขี้งัวไปหื้อเจ๊กที่เยียะสวนผัก พอตกลงราคาเสร็จ บ่าศรีก็ขนขี้งัวดิบใส่งัวล้อไปหื้อเจ๊กเต็มลำ พอเอาไปเท เจ๊กมาผ่อก็อู้ว่า “ลื้ออย่าลืมนะเอาเห้งๆมานะ” “ครับ” บ่าศรีเมือบ้าน ก็ฟั่งตักขี้งัวดิบใส่แหม พอเอาไปเท เจ๊กมาหันก็ต่อว่า “อั๊วะบอกลื้อแล้ว เห้งๆ เอามา เห้งๆ เอามา” บ่าศรีก็เถียงว่า “ก็ฟั่งเอามาหื้อนี่ละลอ” “เป็นว่าบ่าศรีเข้าใจผิดเพราะเจ๊กอู้บ่ชัด เจ๊กหมายถึงขี้งัวแห้งๆ บ่าศรีเข้าใจว่า หื้อเห้งๆ คือรีบๆ เอามาหื้อ มันก็ฟั่งขนมาหื้อ

ตุ๊เจ้ากับแม่ออก

นิทานมุขตลก
เรื่องตุ๊เจ้ามาแอ่วหาแม่ออกเมื่อวัน แล้วก็มีใจฮ่อแม่ออก แม่ออกก็ลื่นลวนเหีย อันใดมีไหนก็เอาหื้อตุ๊เจ้า กำเดียวผัวมันมาปุ๊นแล้วละ ขี้เหล้าเหียผัวมัน “ฮู้ วันนี้กินเหล้าเสี้ยงหลายขวด เป็นหนีเปิ้นเหมือนหอยจับไม้นั่น” “โฮ้ พี่ตุ๊ๆ เปิ้นมาปุ๊ย เข้าไปในเหียเวยๆ ในนี้นา” อันนี้เข้าไปในหีบ เปิ้นแป๋งหีบไว้ละโล่ เขาลวงกัน พี่ตุ๊กเลยเข้าในหีบ ปิดประแจ ตุ๊เจ้ามีในหั้น ผัวมันก็ขึ้นมา “ฮื้อ วันนี้เป็นหนี้เปิ้นเหมือนหอยจับไม้ สูกินข้าวกับสัง” เข้าไปผ่อขันโตก บ่มีสังเนาะ “บ่มีสังกินก็จะเอาหีบไปขายหื้อตุ๊หลวง” ตุ๊หลวงก็อยู่ในหั้นละโล่ “หีบนี้ค่าสามร้อย กันบ่ได้สามร้อยจะเอาไฟเผาเหีย” ตุ๊เจ้ากลัวแหล่ในหีบนั้น กำเดียวก็ “พระปัญญามาดูเพ้ก่อน” พระปัญญาก็มาแหละ “ฮู้ พี่ตุ๊ไปทางใดฮุ” “โอ บ่ยาก เอาเอาหีบนี้ไว้ เอาจะเมือบ้านก่อน เฝ้าดีๆ เน่อ อยู่ใกล้ๆ นี่ แหมะอยู่นี่” ตุ๊เจ้ามันร้อน หายใจฝืด กำเดียวก็ฮ้อง “ปัญญา ปัญญา ฮามีในนี้บ่ะ” จะเยียะจะใด มันมาแถมกำต่อมันร้อยห้าสิบ ก็มันบ่เอา ก็ขอเอาสามร้อยก็ช่างมันนะกะ มาแล้วก็ “ปัญญา เท่าใดฮู้ก่อ ค่ามัน” “เปิ้นก็ว่าร้อยห้าสิบ บ่ได้สามร้อย เปิ้นจะเอาเผาไฟ เปิ้นว่าจะนั้นนะ” “ปัญญา สามร้อยก็สามร้อยนะ สตางค์มีบนหัวหั้น” ปัญญาก็เอาสตางค์หื้อสามร้อย เปิดแนบ อันนี้จะบอกแม่สำราญ แม่ออกนะ กันว่าแม่ออกไปส่งข่าว ใคร่สำราญแม่ออกเต๊อะเน้อ เท่าอี้นะ

ตุ๊เจ้ากับแม่ออกขี้อวด

นิทานมุขตลก
มีอุบาสิกาท่านหนึ่งเป็นคนที่ชอบอวดข้าวของที่ตนมีอยู่กับผู้อื่นอยู่เสมอ วันนั้นอุบาสิกาคนนี้ซื้อแหวนทองวงใหม่ประดับพลอยและก็ไปทำบุญที่วัด ก็อยากจะอวดแหวนให้กับท่านเจ้าอาวาสดู และท่านเจ้าอาวาสก็ได้ไปใส่ฟันทองมาใหม่เพราะว่าหกล้มแล้วฟันหลุด อุบาสิกาท่านนี้ก็ยกมือไหว้และกระดิกนิ้วที่ใส่แหวนวงใหม่นั้นพร้อมกับถามท่านเจ้า อาวาสว่า “วันนี้วันอะไรเจ้าคะท่าน” “วันชิด”

ตุ๊เจ้าอมเหมี้ยง

นิทานมุขตลก
วันหนึ่งได้มีพ่อค้าเหมี้ยงมาพักเหนื่อยที่ริมวัด พระสงฆ์ก็อยากจะกินเหมี้ยง ก็บ่นลอยๆ กะให้พ่อค้าได้ยินและถวายเหมี้ยงให้ท่านว่า “จะซื้อเหมี้ยงก็ไม่มีเงินแล้วโว้ย เราไม่ได้ไปทำงานหาเงินอะไร จะเอาเงินที่ไหนมาซื้อ” พ่อค้าเหมี้ยงได้ยินอย่างนั้นก็เอ่ยกับไปว่า “เอ...ถ้าท่านให้เราตีกลองนะ เราจะถวายเหมี้ยงให้กับท่านสองกำ” “ตีสิ อยากตีก็ตีเลย” พ่อค้าเหมี้ยงก็ลุกขึ้นแล้วเอาฆ้อนตีกลอง “ต้ม… ต้ม…. ต้ม.... ต้ม....” ซักพักผู้ใหญ่บ้าน กำนันได้ยินเสียงกลองก็พากันวิ่งมาที่วัดกันใหญ่ ทั้งชาวบ้านชาวช่องทั้งหลายก็ต่างพากันมา ต่างก็นึกว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน “เป็นอะไรไปหลวงพี่ มีเหตุการณ์อะไรทำไมมาตีกลองป่าวประกาศละ” “ไม่มีอะไร พ่อค้าเหมี้ยงนะเขาอยากตีกลองเลยเอาเหมี้ยงมาแลกกับการตีกลอง อันเราก็อยากจะกินเหมี้ยงเพราะว่าไม่ได้กินมาหลายวันละ ก็เลยให้พ่อค้าเหมี้ยงตีกลองเพื่อแลกกับเหมี้ยงนะ” “งั้นเหรอครับ “ ตั้งแต่นั้นมาหลวงพี่องค์นี้ก็เลยไม่อดเหมี้ยง เพราะชาวบ้านเปลี่ยนกันส่งเหมี้ยงบุหรี่ให้กับหลวงพี่ตลอด

ตุ๊เจ้าเรียนธรรมมะคอก

นิทานมุขตลก
มีเจ้าอาวาสวัดหนึ่งมีความฉลาดอย่างมาก และก็มีคนอยากที่จะมาถามเรื่องธรรมะเพื่อลองภูมิความรู้ของท่านมากมาย ว่าจะรู้เรื่องของธรรมมากแค่ไหน มีศรัทธาคนหนึ่งก็อยากจะมาลองภูมิท่านอีก เมื่อพ่อศรัทธามาถึงที่วัดก็ถามสามเณรที่เล่นด้านล่างกุฏิว่า “นี่เณร ท่านเจ้าอาวาสไปไหนนะ” “ท่านเจ้าอาวาสกำลังเรียนธรรมมะคอกอยู่บนกุฏิ” “อะไรคือธรรมะคอกเหรอ” เณรก็บอกกับพ่อออกศรัทธาว่า “พ่อออกก็ลองไปฟังดูสิ” พ่อออกศรัทธาก็เดินไปใต้กุฏิก็ได้ยินเสียง “ค๊อก................. คอก..........ค๊อก” เมื่อพ่อออกศรัทธาได้ยินเช่นนั้นก็เดินกลับมาบอกกับเณร “โอ้ กูจะมาลองภูมิท่านเจ้าอาวาสวัดนี้คงไม่ชนะอีกละ เพราะธรรมมะคอกนี้กูไม่ได้เรียน“ พ่อออกศรัทธาก็เลยหนีไป ที่จริงท่านเจ้าอาวาสนอนหลับกรน คอก คอก อยู่ด้านบนกุฏิ

ถุงอาลาลา

นิทานมุขตลก
ปู่แก้วมันจะค่ำชาวเขมร วันหนึ่งไปเอาผึ้งใส่ถุงมัดปากอย่างดี เตียวไปหาชาวเขมร เขมรก็ถาม “ลุงๆ ถือถุงอะหยังมาน่ะ” ปู่แก้วอู้ว่า “อันนี้เป็นถุงอย่างดี ถุงอะลาลา” เขมรก็ถามว่า “ถุงหยั่งใดน่ะลุง ถุงอะลาลา” “โหะ บ้านสูบ่มีก่ะ ถุงอะลาลาเนียะ” “บ้านเราบ่มีสักแก่น บ่เคยได้ยินสักกำเตื้อ มาได้ยินบ่าเดี่ยวเนี้ยะ” ปู่แก้วก็ว่า “กูเป็นคนตั้งชื่อมันว่าถุงอะลาลา” “เราขอยำถุงอะลาลาหน้อยลอ” ลุงแก้วก็บอกวิธียำถุงอะลาลาหื้อ “หื้อคิงเอาถุงอะลาลาไปยำในมุ้งปู้น ยำกลางเปล่งบ่ได้” ชาวเขมรก็รับคำ เข้าไปกางมุ้งเรียบร้อย ลุงแก้วก็เอาถุงอะลาลายื่นหื้อ “หื้อกูออกประตูไปก่อนเน่อ แล้วมึงค่อยเปิดผ่อ” พอปู่แก้วออกประตูไปแล้ว ชาวเขมรก็เปิดถุงออกมา ผึ้งก็กรูออกมาต่อย ชาวเขมรก็เดือด” “อะลาลา อะลาลา อะลาลา” ออกมาหน้าปูดหน้าเป๋ากับคำเนี้ยะ ถุงอะลาลา

นายอำเภอตัวเท่าลูกหมา

นิทานมุขตลก
เมื่อครั้งที่นายอำเภอจะต้องไปเยี่ยมประชาชนในอำเภอ เมื่อต้องขึ้นไปเยี่ยมชาวกะเหรี่ยงบนดอยสูง ไม่มีถนน ต้องเดินเท้าขึ้นไปจนถึงบ้านของชาวบ้านที่อยู่บนเนินสูง เมื่อไปถึงบ้านแล้ว ชายกะเหรี่ยงเจ้าของบ้านก็บอกนายอำเภอว่า “โอ้...นายอำเภอก่อตั๋วใหญ่ลูนี่ ตะกี้ฮาหันเตียวอยู่ตังลุ่ม ตั๋วเท่าหมาหน้อยนิ” (โอ้ นายอำเภอก็ตัวใหญ่เหมือนกันนะนี่ เมื่อกี้ผมเห็นเดินอยู่ข้างล่างตัวเล็กเท่าลูกหมา)

น้ำพริกคิงน้ำพริกฮา

นิทานมุขตลก
ขมุกับคนเมืองไปเยียะการโตยกั๋นบนดอย ต่างก็ห่อข้าวไปโตย พอถึงพักเที่ยงจะพักกินข้าว ขมุก็เอาห่อข้าวมาแกะ มีน้ำพริกอยู่สองอย่าง ขมุก็บอกคนเมืองว่า “อันนี้น้ำพริกคิง อันนี้น้ำพริกฮา” (อันนี้น้ำพริกขิง อันนี้น้ำพริกฮ้า) ขมุมันอู้บ่ชัด คนเมืองก็เข้าใจผิด “น้ำพริกคิง น้ำพริกฮาอะหยังบ่อ กินตวยกันเนียะ” ขมุก็ว่า “บ่ใช่นา อันนี้น้ำพริกคิง อันนี้น้ำพริกฮา “โหะ ไอ่นี่ อู้จะใดบ่ะ บ่ถ้าคิงๆ ฮาๆ ละ กินตวยกันเนี้ยะ” “บ่ใช่นา” คนเมืองอดบ่ได้ เอาเท้าเตะห่อน้ำพริกกระจัดกระจาย ขมุเห็นก็เข้ามาตีคนเมือง คนเมืองก็เลยปล้ำกันกับขมุ จนเหนื่อย ขมุก็ว่า ฮาบ่น่าอู้เลย เจ็บง่าว กรรมของฮาแท้ๆ บ่ะ”

ปี้จายกับน้องเมีย

นิทานมุขตลก
ปี้จายนอนโต้ง แล้วก็เอาน้องเมียไปนึ่งข้าวตวย นอนตวยกัน หื้อปี้จายนอนนอก น้องเมียมันเป็นสาวน่อ นอนใน แล้วทีนี้ปี้จายมันก็มีใจอ่อน้องเมียมัน จะเอาจะใดก็บ่ได้ แล้วก็มาแอ่วหาสหายนอกบ้าน ขอสหายไปช่วย สหายว่า “ไปก็ไป ข้าจะไปเป็นนกจุกกะลุย ฮ้องหื้อมันกลัว จะหลอกมัน แล้วก็จะขึ้นอยู่ปลายมะขามก้นตูห้าง จะฮ้องเวลาเมื่อกินข้าวแลงแล้ว” ละหลอกมันหั้นนา “วันนี้สำคัญเน่ออี่หน้อย นกจะมาฮ้อง อะสังบ่รู้ละ เสียงมันนั่น ฮู้...เสือเย็นฮู้ อะสังบ่ฮู้ละ” หลอกน้องเมียมัน กำเดียวมันค่ำมืดแล้วกะ สหายมันซัดเหล้าไปตวยขวดหนา ขึ้นอยู่ปลายมะขาม ฟังเสียงเขานอน ปี้จายนอนนอก น้องเมียนอนใน “ฟังเน่อ อี่หน้อย” อี้หนา กำเดียวนกจุกกะลุยฮ้องปลายมะขามละ “จุก จุก จุกกะลุย ฮ่องห้างบ่ฮ่วมห้องกูจะกิน กูอยาก กูอยาก” “โฮะ ปี้จาย เอ็งกลัว ปี้จาย” “เออ ปี้จายอยู่นอกนี่ บ่ถ้ากลัว” อี้หนา “กำเดียวจะไปเป็นหมู่ก็ได้” กำเดียวก็ “จุก จุกกะลุย ฮ่วมห้างบ่ฮ่วมห้องกูจะกิน กูอยาก” “โฮะ ปี้จายๆ เข้ามาแล่ปี้จาย กลัว” “ไขประตูกะ” ไขประตูขะล็อก กำเดียวปี้จายเข้าไป โฮ้ สหายมันได้อยู่ลู่ มันใกล้นะ เข้าไปฮ่วมห้องกันแล้วก็เอาละ ฮ้อมแหม “จุก จุกกะลุย ฮ่วมห้องแล้วบ่อ้อมก้น ก้นบ่โย้นกูจะกิน กูอยาก กูอยาก” “โอ้ ปี้จาย อ้อมไว้ อ้อมไว้หนา อ้อมไว้หนา” “จุก จุกกะลุย อ้อมก้นแล้วบ่โย้น กูจะกิน กูอยาก กูอยาก” “โย้นแหละ ปี้จาย โย้นแหละปี้จาย ฮือๆ” เท่าอั้นละ

ปู่กับหลาน

นิทานมุขตลก
ที่บ้านในชนบทแห่งหนึ่ง มีปู่กับหลานชายอาศัยอยู่ด้วยกันสองคน พอตกกลางคืนปู่ก็เรียกหลานมาบีบมานวดให้ เพราะเมื่อแก่ตัวลงมาก็ปวดแข้งปวดขาเป็นไปตามธรรมดาของคนแก่ ปู่เรียกหลานมาบีบนวดให้ทุกคืนจนหลานเบื่อ ก็คิดอุบายขึ้นมาเพื่อหาทางหลบบีบนวดให้ปู่ ขณะที่นวดให้ปู่อยู่นั้น หลานชายก็ถามปู่ขึ้นมาว่า "ปู่ๆ ถ้าน้ำมันท่วมบ้านปู่ ปู่จะไปนอนที่ไหน" ปู่ก็บอกตอบหลานไปว่า “ก็ไปอยู่บนหลังคาบ้านสิไอ้หลายชาย” หลานก็ถามอีกว่า “ถ้าน้ำท่วมหลังคาบ้านละ ปู่จะไปนอนไหน” ปู่ก็ตอบว่า “ก็ไปอยู่ปลายต้นตาลนู่นนะสิไอ้หลานชาย” ทีนี้หลานก็ถามอีกว่า “ถ้าน้ำท่วมปลายตาลละปู่ จะไปอยู่ไหน” หลานถาม ปู่ก็ตอบว่า “ปู่ก็ว่ายน้ำไปนอนบนดอยสิไอ้หลานชาย” ทีนี้หลานก็ยังซักไซ้ไล่เลียงต่ออีก “ถ้าน้ำท่วมบนดอยหละ ปู่จะว่ายังไง” “เอ ไอ้น้ำนี้มันทำไมมันจะท่วมอะไรขนาดนั้นวะ” ปู่เห็นน้ำท่วมแบบนี้ไม่รู้จะทำยังไง ก็ตอบด้วยแรงโมโหลุกขึ้น หลานก็วิ่งหนีกลัวโดนปู่ตี ปู่ตะโกนร้องเสียงดังไปว่า “มึงจะหนีไปไหนหนะไอ้หลาน” “ปู่จะตีหลานนะ ก็หนีนะสิ” ปู่ก็บอกว่า “กูก็นึกว่ามึงหนีน้ำท่วม” หลานก็ตอบว่า “กลัวปู่จะตี และกลัวน้ำจะท่วมตายนะปู่” แล้วหลานก็วิ่งหนีไปหายจ้อย

ปู่เงี้ยวปูชาพระ

นิทานมุขตลก
มีพระวัดหนึ่งท่านต้อนรับศรัทธาที่มาหาอย่างดี จะคอยอยู่ที่บันไดคอยรับแขก วันหนึ่งมีปู่เงี้ยวคนหนึ่งมาหาพระ พระก็ทักว่า “สล่า ไปไหน” ปู่เงี้ยวทำหน้าบูดบึ้ง พูดว่า “เมื่อคืน มีคนมาตายหั้นกึ่งดึ่ง ตายคิงไปรับเหีย ฮามาปูชาคิงน่ะ”

ผีลง 2

นิทานมุขตลก
อ้ายคำ เป็นคนทรงเจ้าเข้าผีเพื่อที่จะคอยให้คำปรึกษาและแนะนำเรื่องราวต่างๆ ให้กับชาวบ้านในหมู่บ้านห้วยหลุ เวลาที่เจ้ามาลงทรงนั้นอ้ายคำจะเกิดอาการสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ชาวบ้านจะรู้กันทันทีว่าเจ้าลงทรงแล้ว ก็จะถามนั่นๆ นี่ๆ ตามแต่ปัญหาของตน วันหนึ่ง อ้ายคำเห็นคนมามากมายตามคำล่ำลือของชาวบ้านปากต่อปาก อ้ายคำก็ ออกไปหน้าบ้านเหมือนทุกวันเพื่อทรงเจ้า พออ้ายคำสั่นๆๆๆ แล้วหยุดทุกคนก็พุ่งเข้าไปถามตามคิวเรียงๆ กันไป จนมาถึงคิวของคำแพงสาวงามประจำหมู่บ้าน “ว่าไงอีคำแพง มึงมาวันนี้มึงอยากรู้เรื่องอะไร?” “คือ.....เอ่อ.....คือ......” “มึงพูดมาเถอะไม่ต้องอ้ำอึ้ง มึงไม่ต้องอายอะไร” “คือ.....อีฉันอยากรู้เจ้าคะ ว่าตอนนี้เนื้อคู่ของอีฉันนะอยู่ที่ไหนเจ้าคะ” “ฮ่าๆๆๆๆ.........” อ้ายคำเจ้าทรงหัวเราะดังๆ ขึ้นมาทันทีแล้วก็พูดต่อไปอีก “เนื้อคู่ของเจ้านะ อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลหรอกนะ” “หา.....ไม่ใกล้ไม่ไกลหรือเจ้าคะ” “แล้วอยู่ที่ไหนละเจ้าคะ อีฉันอยากรู้นะ อยากเจอด้วย” “ฮ่าๆๆๆๆ..............” อ้ายคำเจ้าทรงหัวเราะอีกรอบ “เนื้อคู่ของเจ้านะ......... ก็ม้าขี่เจ้า พ่อที่อยู่ตรงหน้าเจ้านี้ไง ใช่ใครอื่นที่ไหนกัน”

ผีลง ๑

นิทานมุขตลก
แม่เลี้ยงบัวคำเป็นร่างทรงในหมู่บ้านห้วยบ่าจอย ชาวบ้านต่างก็จะมาดูเวลาที่ แม่เลี้ยงบัวคำทรงเจ้า วันหนึ่งแม่เลี้ยงบัวคำก็ทรงเจ้าตามเคย คนก็มาที่บ้านมากหลายก็นั่งกันเต็มบนบ้าน แม่เลี้ยงบัวคำนั้นล้นไปเกือบถึงห้องครัว ที่ห้องครัวนั้นบัวเกี๋ยงกำลังทำกับข้าวอยู่ อ้ายน้อยก็ถามบัวเกี๋ยงนั้น “ทำอะไรกินบัวเกี๋ยง” “แกงสะแลเจ้าพี่น้อย” แม่เลี้ยงบัวคำที่กำลังทรงเจ้าได้ยินก็บอกบัวเกี๋ยงไป “บัวเกี๋ยง ลูก อย่าลืมแบ่งเก็บไว้ให้พ่อเอ็งด้วยนะ ไอ้แกงที่เป็นปูดๆ ปุ่มๆ ปมๆ นะ” “แกงอะไรละแม่ ไอ้แกงปูดๆ ปุ่มๆ ปมๆ นะ” “เอ้า...... ก็แกงที่คนเขาเรียกว่าแกงสะแลนั่นนะสิ” เมื่อคนทั้งหลายที่มาดูมาเลี้ยงบัวเกี๋ยงทรงเจ้าได้ยินเช่นนั้นแล้วก็ลงจากเรือนกันไป เพราะรู้ว่าแม่เลี้ยงบัวเกี๋ยงนั้นไม่ได้ลงทรงจริงๆ หลอกลวงชาวบ้าน

ผู้ใหญ่บ้านยอง

นิทานมุขตลก
ชาวยองคนหนึ่งได้รับเลือกให้เป็นผู้ใหญ่บ้าน ก็กลับมาเลี้ยงฉลองตำแหน่งใหม่ที่บ้านเป็นการใหญ่ มีลูกบ้านมาในงานนี้อย่างมากมาย เมื่อเมาได้ที่แล้วผู้ใหญ่ก็ถามลูกบ้านว่า “คิงว่าฮากับนายอำเภอ ไผใหญ่กว่ากัน” ลูกบ้านตอบว่า “พ่อหลวงนะใหญ่กว่า” ผู้ใหญ่ร้องสั่งคนทำอาหารอย่างดีใจว่า “เหล้าสองโขด ไก่แถมโต๋”

ฝรั่งหัดอู้ยอง

นิทานมุขตลก
มีฝรั่งคนหนึ่งก็มาได้เมียยอง ทีนี้ก็เมียมันไปแบกหลัวมา ไปแพะมา ไปแบกหลัวว่าสีอิดสีอ่อน เหื่อไหลไคลย้อยเนาะ ฝรั่งผัวมันใคร่อู้ยองก็เลยถามเมียมันว่า “เอ๊อะ มอยมากไหม” ที่จริง ม่อยมันหมายถึงอิดนี่ละ แต่ยองมันฟัง บ่นึกว่าผัวจะอู้ได้ เมียมันก็นึกว่าผัวกูมาถามหมอยกานี่ ก็เลยตอบว่า “มอยไม่มาก บะลอมพอมแพม” ฝรั่งก็เลยงง บะลอมพอมแพมก็ตึงยากอยู่ละ มันแปลบ่ออก

ฝรั่งเคยกิน

นิทานมุขตลก
ฝรั่งเคยมาอยู่เมืองไทยเนาะ มาอยู่เมืองไทยเมินแล้วมันก็ปิ๊กไป ปิ๊กไปที่เมืองนอกเมืองฝรั่งปู้นเนาะ หมู่คนไทยที่อยู่ในเมืองฝรั่งก็ถามมันว่า “ไปอยู่เมืองไทยนี่ เคยกินอะไรมาบ้าง” อี้เนาะ “อู้ ผลไม้นี่ผมกินทุกอย่าง พวกมะเฟืองมะไฟ มะโอ ผมกินทุกอย่าง มะม่วง กินทั้งนั้นเลย” คนไทยก็เลยใคร่อยากลองดีเนาะ ก็เลยถามว่า “แล้วมะแก่นแตดเคยกินไหม” “เอ ดูเหมือนจะเคยนะ” อันนี้เรื่องว่าฝรั่งเคยกิน ชื่อมันนะ มันกินไปเรื่อย

พระหน้อยกับตุ๊เจ้า

นิทานมุขตลก
วันหนึ่งมีคนมานิมนต์เจ้าอาวาสไปทำบุญบ้านของศรัทธาต่างหมู่บ้าน เมื่อศรัทธา มาถึงวัดก็เจอเณรน้อยวิ่งเล่นกันที่ลานวัด เมื่อเณรน้อยเห็นศรัทธามาก็เอ่ยปากถาม “พ่อลุงมาทำอะไรหรือ” “อ้อ มานิมนต์เจ้าอาวาสนะ” “โห พ่อลุงอยู่ที่นี่ก่อนนะเดียวเณรไปเรียกท่านให้ ช่วงนี้ท่านไม่ค่อยสบายนะหูไม่ค่อยดี เมื่อท่านเจ้าอาวาสมาแล้วให้พูดเสียงดังๆ นะ ต้องเอาเสียงดังสุดเสียงเลยนะ เดียวเณรไปเรียกท่านมาให้ก่อน “ แล้วเณรก็ขึ้นไปที่กุฏิเจ้าอาวาส ก็ไปบอกเจ้าอาวาสว่า “ท่านเจ้าอาวาสครับ มีศรัทธามานิมนต์ท่านครับ แต่ว่าหูเขาไม่ค่อยดีนะต้องพูดกับเขาเสียงดังๆ นะครับท่าน” เมื่อเจ้าอาวาสลงมาจากกุฏิแล้ว ศรัทธาคนนั้นก็เข้าไปหาท่านเจ้าอาวาส เจ้าอาวาสก็ตะโกนขึ้นสุดเสียง “ไปไหน” ศรัทธาก็ตะโกนตอบสุดเสียงเช่นกัน “มานิมนต์ท่านครับ” “นิมนต์ไปไหน” ที่แท้หูดีเหมือนกันทั้งคู่ แต่ว่าโดนเณรน้อยหลอกเอา

พี่หนาน

นิทานมุขตลก
มีหนานบ่าเก่าแหมคนหนึ่ง ยามบะแตงสุก สาวก็ว่า “พี่หนาน มาแอ่วบ้านข้านี้ ปลายเปียะ” “แท้กา” หวีหัวทาแป้งแล้วมันก็ไปบ้านสาว เอาบะแตงมาโบะ “พี่หนาน กินบะแตงลอ” มันก็กินบะแตงลาย แถมคนหนึ่งอยู่ท่าพื้นกะล่าง “พี่หนาน ไปแอ่วบ้านข้าลอพี่หนาน บ่ไปเสียใจ” ไปแผ่วเล่นโบะบะแตงลายหื้อแถม “บ่กิน บ่ฮักข้าเน่อพี่หนาน” ปาดบะแตงลายหื้อกิน สาวแหมคนก็มาฮ้องแถม “ไปแอ่วบ้านข้าเน่อ พี่หนาน” โบะบะแตงลายหื้อกินแถม เมื่อคืนมา นอนลุกเยี่ยวติกๆ “เป็นจะอี้ลู้ปลายเปียะ” มันเยี่ยวคืนรุ่ง หวังว่าเปิ้นจะหื้ออี้ก่าน่อ มีหนานแหมคนหนึ่ง เป็นใบระกาตุ๊หลวง ไปเมาหลานสาวตุ๊หลวง ตุ๊หลวงก็ฮู้แล้ว ตุ๊ใบระกาก็ขอสิก ตุ๊หลวงก็ปล่อยสิก มันไปเมาหลานตุ๊หลวง ตุ๊หลวงก็ไปสั่ง “อี่หน้อย กันว่าไอ่หนานนั้นมาแอ่ว มึงจะไปอู้ฟู่มันเน่อ” ไปวันนี้ดัก มันก็บ่อู้ ไปวันพู้ก มันก็ปิ๊กมาอู้ตุ๊หลวง “เป็นจะได ข้าสิกบ่จับวันก้า ไปแอ่วหาสาวที่ไหน เปิ้นก็บ่อู้” ตุ๊หลวงก็ว่า “บ่เป๋นหยัง วันพูกจะแปงยาแฝดหื้อ” ตุ๊หลวงก็ไปห่อขี้ไก่แอ่งแจ๊ะ ใบปูเจ็ดชั้นก็เอาหื้อหนานนั้น “หื้อมันไปอู้เต๊อะ กอนว่าได้ยาที่ตุ๊กไปนี่เหน็ด หื้อมึงเอาใส่ปากหั้นยั้นไว้หั้น บ่ถ้าปากเตื้อเน่อ ท่าพังมันจะปาก” ถึงเมื่อนั้นมา ตุ๊เจ้าก็ห่อขี้ไก่แอ่งแจ๊ะหื้อ มันก็ขึ้นไปแอ่วหาหลานสาวตุ๊หลวง “พี่หนาน กินข้าวแลงกับหยัง” ยั้นกำหนึ่ง “พี่หนาน วันนี้มาแอ่วหาข้าหยังมาสวกล้ำเหลือ” ยั้นเสี้ยงแฮง ขี้ไก่แตก แอ้ๆ บ่ได้ปากสักกำ

พี่เขยเคี้ยวเนื้อ

นิทานมุขตลก
บ้านหลังหนึ่งลูกเขยใหม่พึ่งย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านได้ไม่นาน อยู่มาวันหนึ่งครอบครัวนี้รวมถึงเขยใหม่ก็นั่งล้อมวงกินข้าวมื้อเย็นกัน พี่เขยนั่งขนาบข้างด้วยน้องภรรยาและพ่อตา ทั้งครอบครัวนั่งกินข้าวด้วยกันซักพัก เขยใหม่คว้าเนื้อขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ด้วยความเหนียว ของเนื้อนั้นก็ต้องออกแรงดึงมากหน่อย เขยใหม่ก็ออกแรงดึงสุดชีวิตเพื่อที่จะฉีกเนื้อ นั้นมากิน แต่กลับหลุดมือด้วยแรงดึงมากทำให้เหวี่ยงแขนเอาศอกไปถูกหน้าผาก ของน้องภรรยาอย่างจังถึงกับหน้าหงายไป ด้วยเป็นคนที่สติดีและเร็ว เขยใหม่ก็รีบคว้าน้องภรรยามานั่งทัน ส่วนน้องภรรยานั้นก็ได้แต่ร้องไห้ด้วยความเจ็บอย่างนั้น ลูกเขยไม่รู้จะทำอย่างไรกลัวพ่อตากลัว เลยหันหน้าเข้าไปหาน้องของภรรยาแล้วกว่าบอกว่า “โถๆๆๆ น้อง อยากได้อะไรก็บอกสิ อยากกินเนื้อก็บอกพี่เขยก็ได้ไม่ต้องร้องไห้จะเอา หยุดร้องซะนะ เดี๋ยวพี่เขยจะเอาให้” พร้อมกับหยิบเนื้อให้ พ่อตาก็ไม่ทันเห็นก็พูดออกไป “เออ.....ใช่ลูก อยากได้อยากกินอะไรก็บอกสิ จะได้เอาให้ ไม่ต้องร้องไห้จะเอาเป็นเด็กๆ ไปได้" แท้ที่จริงแล้วที่น้องเมียร้องไห้นั้นก็เพราะว่าเจ็บที่ถูกฟันศอกจากพี่เขยต่างหาก

พ่อกับลูกนอนห้าง

นิทานมุขตลก
วิถีชีวิตของคนในสมัยก่อนนั้นนั้นจะอยู่กับธรรมชาติการดำรงชีวิตก็จะถ่ายทอดจากพ่อสู่ลูก วันหนึ่งนายปั๋นพาลูกไปนอนเฝ้าข้าวที่พึ่งเกี่ยวเสร็จที่กลางทุ่ง อากาศก็เย็นสบายดี ทั้งสองพ่อลูกก็ชวนกันไปปักเบ็ดที่แม่น้ำใกล้ๆ จนดึกทั้งสองก็กลับมานอนที่กระท่อม ในนาตนเองทั้งสองเข้านอนที่นั่นได้ซักพักใกล้จะหลับสูกชายของนายปั๋นก็ถามพ่อขึ้นมา “พ่อๆ หลับยัง” “ยัง..มีอะไรหรือ” “พ่อ....ทำไมนกเงือกมันถึงร้องเสียงดังละพ่อ” “อ้อ ก็นกเงือกคอมันยาวนะเลยร้องได้เสียงดัง” “เหรอพ่อ เอ...แล้วอึ่งอ่างละพ่อ คอมันไม่ยาวนะ แต่ทำไมมันร้องเสียงดังละ” พ่อจนปัญญาตอบลูกไม่ได้เลยตะวาดไป “เอ เด็กคนนี้นี่ดึกแล้วยังไม่หลับไม่นอนอีก ถ้ายังไม่หลับเดียวจะเจอมะเหงกนะ”

พ่อค้าหม้อ

นิทานมุขตลก
มีพวกพ่อค้าหม้อกลุ่มหนึ่งเดินตระเวนเร่ขายหม้อไปทั่วราชอาณาจักร เมื่อเดินทางไปค้าขายระหว่างทางเหล่าพ่อค้าก็มักจะสรรหากิจกรรมทำระหว่างทางเพื่อคลายความเบื่อหน่าย พ่อค้าทั้งหลายเดินทางผ่านแนวป่าเพื่อไปยังหมู่บ้านข้างหน้า มีพ่อค้าคนหนึ่งร้องบอกเพื่อน “นี่เพื่อนๆ ทั้งหลายเรามาเล่นทายปัญญากันดีไหม” “เออ ดีๆ จะได้แก้เบื่อด้วย” คนข้างหน้าเป็นคนเริ่มถามก่อน “อะไรเอ่ยสี่คนหาม สามคนแห่ อีกหนึ่งแวะหากิน” เหล่าพ่อค้าทั้งหลายก็คิดถึงคำตอบกันนานมาก จนทุกคนลืมว่าจะต้องตอบคำถาม พอเดินไปเกือบที่พ้นป่ามาแล้วพ่อค้าคนสุดท้ายที่มัวครุ่นคิดถึงคำตอบก็คิดออกและตะโกนตอบไปว่า “ช้าง โว้ย” พ่อค้าทุกคนเมื่อได้ยินอย่างนั้นแล้วก็นึกว่าช้างมาต่างก็พากันทิ้งหม้อทิ้งไหวิ่งหนีไปคนละทิศละทางกันหมด เพราะนึกว่าช้างไล่พวกตนมา

พ่อตากับลูกเขย

นิทานมุขตลก
วันหนึ่งพ่อตากับลูกเขยพากันไปป่าเพื่อที่จะหาของป่าล่าสัตว์เอามาขายเพื่อเลี้ยงชีพ พ่อตาผู้มีประสบการณ์ก็เดินไปไปก่อน ส่วนลูกเขยกเดินตามหลังมา เมื่อเดินเข้าป่าได้ ซักพัก พ่อตาก็ตดชนิดกลิ่นรุ่นแรงออกมาแล้วก็เดินต่อไปเรื่อยๆ ส่วนกลิ่นตดนั้นก็ยังคงอยู่ที่จุดเดิมนั้น เมื่อลูกเขยเดินตามมาก็มาเจอกับกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์เข้า ลูกเขยก็จำกลิ่นนั้นได้ทันทีว่าเป็นกลิ่นตดของพ่อตา ในใจก็นึกเคืองอยู่บ้าง เพราะทั้งพ่อตากับลูกเขยคนนี้ไม่ค่อยที่จะลงรอยกันเท่าไหร่ ลูกเขยจึงตะโกนออกมาอย่างฉุนเฉียวไปว่า “หมาตัวไหนมาตดวะ” พ่อตาได้ยินเข้าก็ไม่ว่ายังไง พ่อตาก็นึกเคืองอยู่ในใจเหมือนกัน เข้าป่าหาของป่ากันได้แล้วถึงตอนเย็นก็กลับมาถึงบ้าน พ่อตาก็มาเล่าเรื่องราวที่พ่อนั้นถูกลูกเขยว่าให้เมื่อเช้าเรื่องตดให้กับลูกสาวตนฟัง “นี่ลูกบอกผัวแกบ้างนะเรื่องของการพูดการจาอะไร หรือว่าความเคารพยำเกรงกันนะ เมื่อเช้านะพ่อตดมันก็ว่าหมาตัวไหนตด ทั้งที่นั่นก็มีพ่อกับลูกเขยเท่านั้น” ลูกสาวก็ไปว่าให้ผัวที่มาว่าให้พ่อของตนเช่นนั้น “นี่พี่.....ว่าให้พ่อเป็นหมาหรือพี่ พ่อตดเหม็นก็ทนเอาหน่อยสิ เคารพยำเกรงกันบ้างนะ” ฝ่ายผัวก็ตะโกนขึ้นว่า “หมามันยังคาบเอาคำมาเล่าให้ฟังอีกหรือเนี่ย”

พ่อหลวงเมืองพร้าว

นิทานมุขตลก
พ่อหลวงเมืองพร้าวมันไปประชุมจังหวัด ไปปะผู้ว่า เปิ้นว่า “สวัสดีครับ” มันไปสุดท้ายหมู่ มันก็ว่า “จังหวัดดี” ผู้ว่าถามมัน “พ่อหลวง” มันว่า “ผม” มันบ่ครับซักกำ “จำนวนลูกน้องมีกี่คน” มันใส่เขี้ยวคำมาใหม่ มันใคร่อวดก็ว่า “ยี่ซาว” “จำนวนแน่นอนหรือ” “บ่นอนครับ รถป๊าวปิ๊ก ผมก็จะปิ๊ก”

พ่อเชื่อลูก

นิทานมุขตลก
สมัยปัจจุบันนี้เป็นยุคแห่งใบปริญญา ทุกคนต่างก็ต้องการทั้งนั้น และยังมีครอบครัวหนึ่งก็ส่งลูกไปเรียนหนังสือที่ในตัวเมืองจนจบ และในปีนี้ต้องไปรับปริญญาที่กรุงเทพทั้งครอบครัวนี้ก็จะไปแสดงความยินดีกับการับปริญญาของลูก แม่ก็ให้พ่อไปกับลูกส่วนตัวเองนั้นจะอยู่เฝ้าบ้าน ก่อนจะขึ้นรถแม่ก็สั่งทั้งพ่อและลูกว่า “นี่ลูก อย่าไปโมโหหรือดุพ่อนะถ้าพ่อทำอะไรลงไป ก็เพราะว่าความไม่เคยเข้ากรุงเทพนะ ลูกต้องแนะนำหรืออธิบายให้พ่อฟังนะลูก” ลูกก็ตกลงและจะทำตามที่แม่บอก แล้วแม่ก็หันมาคุยกับพ่อบ้าง “นี่พ่อ อย่าทำอะไรให้ลูกอายหรือว่าขายหน้านะ เพราะว่าคนมันเยอะ ถ้าลูกบอกอะไรหรือทำอะไรนั้นก็ทำตามลูกนะ” พ่อก็พยักหน้ารับ แล้วทั้งสองพ่อลูกก็ขึ้นรถไปยังกรุงเทพเพื่อที่จะรับปริญญา เมื่อไปถึงกรุงเทพนั้นก็พอดีว่าเที่ยงวันพอดี ทั้งสองก็หิวจึงเข้าในร้านอาหารแห่งหนึ่งพ่อก็ไม่รู้จะสั่งอะไร เพราะว่าไม่เคยมาและไม่รู้ว่าต้องทำอะไรยังไงบ้างจึงให้ลูกสั่งอาหารก่อน ลูกก็สั่งก๋วยเตี๋ยวพ่อก็ สั่งเลียนแบบบ้าง เพราะว่าเชื่อคำที่ภรรยาตนเองบอก ลูกปรุงใส่อะไรบ้างหรือปริมาณเท่าไหร่พ่อ ก็ทำตามหมด ลูกคีบกินก๋วยเตี๋ยวพ่อก็ทำเลียนแบบ ลูกเอาช้อนตักซดซุปพ่อก็ทำบ้าง หลังจากที่กินอิ่มแล้วลูกก็สั่งอ้อยมากิน พ่อก็เลียนแบบทุกอย่างไม่ผิดเพี้ยนจากลูกเลย ซักพักลูกก็สั่งลอดช่องมากินเป็นอย่างสุดท้าย พ่อก็สั่งบ้างเพราะกลัวจะทำให้ลูกขายหน้าว่าพ่อไม่รู้เรื่องอะไร พอได้ลอดช่องลูกก็เริ่มกินค่อยๆ กินไป พ่อก็ทำเลียนแบบอีกลูกเห็นพ่อทำเลียนแบบตนทุกอย่างก็นึกสงสารพ่อ แต่ว่าก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้กินลอดช่องไปด้วยหัวเราะไปด้วย พ่อก็เลียนแบบอีกทั้งกินทั้งหัวเราะให้เหมือนกับลูก ลูกก็ยิ่งหัวเราะไปใหญ่ก็สำลักลอดช่องจนลอดช่องออกมาทางจมูก เมื่อพ่อเห็นอย่างนั้นก็พยายามทำบ้างทั้งหัวเราะทั้งกินลอดช่องทั้งสำลักและยังพยายามเอาลอดช่องออกมาทางจมูกเหมือนลูก พยายามจนถึงที่สุดก็ไม่สามารถที่จะเอามันออกมาได้จึงบอกกับลูกตนว่า “นี่ลูก พ่อพยายามทำเหมือนลูกทุกอย่างแล้วนะ แต่ว่าเอาลอดช่องออกมาทางจมูกเนี่ย พ่อไม่สามารถทำได้ ไม่ว่ากันนะลูก” ลูกมันก็หัวเราะจนน้ำหูน้ำตาไหลและไม่รู้จะทำยังไงได้แต่หัวเราะเท่านั้น

พ่อเมียตด

นิทานมุขตลก
ลูกเขยกับพ่อเมียชวนกันไปเก็บครั่งที่ในสวนของพ่อเมีย ลูกเขยให้พ่อเมียขึ้นไปเก็บก่อน ลูกเขยก็ขึ้นตามมาติดๆ พอเก็บซักพักพ่อเมียก็ตดออกมาอย่างแรงเต็มหน้าลูกเขยๆ จึงตะโกนถามพ่อเมียไป “อะไรนะพ่อ เสียงอะไร?” “เอ่อ ฟ้ามันร้องนะ เสียงดังด้วย ฮ่าๆๆ” ลูกเขยก็เก็บความเจ็บใจเอาไว้ในใจเท่านั้น ทั้งสองก็เก็บครั่งกันบนต้นไม้ไปเรื่อยๆ ซักพักพ่อเมียก็ตะโกนบอกลูกเขยว่า “นี่ลูกชาย เก็บแต่กิ่งต่ำๆ อยู่ได้ มันจะหมดอยู่แล้ว ขึ้นไปข้างบนนุ่นไป มีเยอะแยะ” “ครับ พ่อ” แล้วลูกเขยก็ขึ้นไปเก็บครั่งข้างบน ซักพักลูกเขยก็เกิดปวดฉี่แต่ว่าขี้เกียจที่จะลงมาฉี่ ข้างล่างเลยฉี่อยู่ข้างบนตกลงมากลางหัวพ่อเมีย “เฮ้ยไอ้ลูกชาย ไอ้ลูกชายโว้ย น้ำอะไรวะตกลงมาใส่พ่อเนี่ย” “ก็น้ำฝนไงพ่อ ฝนมันตกนะ” “เฮ้ยอะไรวะ ฟ้าออกจะสดใส แดดจ้าขนาดนี้ ฟ้าก็ไม่ร้องซักหน่อย ฝนมันจะตกได้ไง” ลูกเขยได้ทีก็ตอบพ่อเมียไปว่า “ก็ฟ้ามันร้องเมื่อเช้าแล้วไงพ่อ ตอนนี้ฝนมันพึ่งตกลงมานะ ฮ่าๆๆ” พ่อสอนลูก ในสมัยนี้พ่อแม่ก็จะส่งเด็กๆ ไปเรียนที่โรงเรียนใกล้บ้านเพื่อที่จะให้มีความรู้เท่าทันคนอื่นๆ ก็จะส่งเด็กไปเรียนตั้งแต่อายุยังน้อยยังอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ครูก็จะเริ่มสอนจนเป็นหมดและครูก็มักจะให้การบ้านนักเรียนมาทำที่บ้าน อ้ายคำก็เป็นอีกคนที่ส่งลูกเรียนที่โรงเรียนใกล้บ้าน ตอนนี้ลูกอ้ายคำกำลังเรียนอยู่ในชั้นอนุบาลกำลังหัดอ่านเขียนภาษาไทย วันหนึ่งครูก็ให้การบ้านมาทำที่บ้านให้หัดอ่านเขียน เมื่อมาถึงบ้านลูกก็หัดอ่านหนังสือไป พ่อก็เอาไม้ไผ่มาทำตอกแม่ก็ทำอาหารอยู่ในครัว ลูกอ่านไปซักพักก็หันมาถามพ่อ “พ่อๆ คำนี้พ่ออ่านว่ายังไงนะ” พ่อนี้จะตอบบอกให้ลูกว่าบ้าน พ่อก็ไม่บอก พ่อก็อยากให้ลูกใช้สมองคิดเอาว่าจะอ่านว่ายังไง พ่อก็เอาไม้ไปแตะ ๆ ที่ฝาบ้านกะจะให้ลูกว่าบ้าน ลูกก็อ่านไม่ได้ พ่อก็เลยเอาไม้ชี้ไปที่รอบๆ บ้าน “นี่ๆ อันนี้เรียกว่าอะไร” ลูกเห็นพ่อชี้รอบๆ ตัว ก็อ่านว่า “อ้อ ฝาบ้าน” ก็ไปกันใหญ่ ทีนี้ลูกก็อ่านไปอีก ไปถึงคำว่า เด็ก ลูกก็อ่านไม่ได้ลูกก็ถามพ่อ พ่อก็รำคาญ “พ่อ คำนี้ละจะอ่านว่ายังไง” พ่อก็รำคาญแกมโมโห จะบอกว่าเด็กก็ไม่บอก กลับถามลูกว่า “คนทางภาคกลางเข้าเรียกละอ่อนว่ายังไง “ ลูกก็ไม่รู้ พ่อก็บอกใบ้อีก “ตัวเท่าลูกเนี่ย คนทางใต้เขาว่ายังไง” ลูกก็คิดไม่ออก ลูกก็เลยตอบว่า “ละอ่อน” แทนที่จะตอบว่าเด็กก็ไม่ว่า ลูกก็เลยว่าละอ่อน

ยาง

นิทานมุขตลก
พวกยางเคารพนับถือครูบา วันหนึ่งเอาข้าวสุกข้าวสารลุกแม่ฮ่องสอนมาถวายครูบากลางทาง หมู่ยางที่เป็นบ่าวเป็นสาวก็เล่นกันพ่อง หลอกล้อกันพ่อง นอนตวยกันพ่อง คนเฒ่าหันก็ใจบ่ดี พอมาแผววัดก็ยกมือไหว้สาและอู้กับครูบาว่า “มาหาครูบาวันนี้ได้บุญ บ่ได้บุญบ่รู้เน่อ หละอ่อนเขานอนกันมาสุดทาง” อู้กันไปอู้กันมา ครูบากำลังเคลิ้มจะหลับ ยางก็ถามว่า “ครูบานี่ถ้าจะบ่มีเมียน่อ” “หา....” ครูบาได้ยินก็ตื่นทันที

ยางเยียะยุ่ง

นิทานมุขตลก
อาจารย์คนเมือง(มัคคนายก) ไปแอ่วบ้านยาง ยางขายปืนหื้อ 2 บอก อาจารย์ก็เอาปืนมาไว้บ้าน แหมบ่เมินเป็นวันเข้าพรรษา ยางมาแอ่วหาอาจารย์ที่บ้าน “แม่เสี่ยว พ่อเสี่ยวไปไหน” เมียอาจารย์บอกว่า “พ่อเสี่ยวไปฟังธรรมที่วัดปู้น” ยางก็เลยว่า “เราจะไปแอ่วหามันสักกำลอ” พอยางไปถึงวัด เซาะเลาะขึ้นวิหารแล้วก็เอิ้นว่า “พ่อเสี่ยวๆ อันสองบอกที่เฮาขายหื้อได้กินกี่ตัวละ” เปิ้นเป็นอาจารย์ถือศีลอยู่วัด ยางซ้ำไปเอิ้นถามอี้เหีย

ลัวะกับไต

นิทานมุขตลก
ลัวะกับไตพากันเข้าไปเสาะกินปลาในห้วย เสาะกินปลาในห้วย หะบวกห้วยนั้นแล้วเสี้ยง ปลากั้งสดออกมาก็เปี๋ยคอปลากั้ง “ปลากั้งควยลัวะบะ ปลากั้งควยลั้วะบะ” ลัวะนั้นเกี้ยด มาบอกหื้อแก่บ้าน ชาวบ้านก็เกี้ยดเสี้ยงตึงบ้านละ “ปากคำใดปลากั้วควยลัวะ มันเป็นจะไดควยลัวะควยไต” “เอ้า ทำหนังสือสัญญาทัณฑ์บนกันไว้ เอามาเปิดผ่อ ถ้าว่ามันเหมือนกันนั่นหื้อลัวะไหมไตเต็มที่ เท่าอั้นหนึ่ง เป็นราคาอยู่สามร้อยบาท อี้เต๊อะน่อ กันว่ามันบ่เหมือนกันนั้น ก็หื้อไตไหมลัวะสามร้อยบาท” ทำหนังสือบันทึกไปไว้บ้านแก่ ถึงวันที่จะเปิดนั้น ที่ทำทัณฑ์บนกันนั้นไว้ ไอ้ไตมันหลวก มันเอาผ้าป่าน หนิ้ว ผ้ามัดแอวแล้วก็หน็อกควยมันขึ้นตังบน เอาปลายมันขึ้นตังบน “เอ้า ลัวะเปิด” ลัวะเปิดขึ้น ควยก็ลงตังลุ่มเสี้ยงแล้ว แถมกำหนึ่ง “ไตเปิด” ไตเปิด ปลายมันขึ้นตังบน “โอ๊ะ บ่เหมือนกันหั้นละโล่” ไตไหมหัวแถมละกำนั้น มันหลวก มันบ่ทันคนไตเฮานี่

ลีซอ

นิทานมุขตลก
มีหมู่บ้านหนึ่ง มีพ่อหลวงเป็นชาวลีซอ วันหนึ่งมีงานเลี้ยงฉลองยศที่ผู้หมวดเหรียญชัยจะได้ยศร้อยเอก แล้วจะย้ายไปอยู่อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ ผู้กำกับอู้ว่า “เอ้า พ่อหลวง อวยพรหื้อผู้หมวดลอ” “เอ้อ วันนี้ก็เป็นวันที่ผู้หมวดเหรียญชัยไปอยู่อำเภอสูงเม่น เมืองแพร่ ไปดีมาดีเน่อ ปันได้เป็นนายสิบนายซาว”

ลื้อเข้าร้านเจ๊ก

นิทานมุขตลก
คนจีนหรือที่เรียกติดปากว่า “เจ๊ก” นั้นเป็นชนกลุ่มที่ถนัดเรื่องการค้าขาย ลูกค้าที่เข้าร้านนั้นมีหลายประเภทซึ่งเจ๊กก็หื้อความสำคัญต้อนรับเท่าเทียมกัน วันหนึ่งมีชาวเขาเผ่าลื้อเข้ามาในร้าน เจ๊กหันลูกค้าเข้าร้านก็ตรงไหนต้อนรับและถามด้วยประโยคที่เคยชินว่า “ลื้อจาเอาอาราย อั้วะจะขายห้าย” ลื้อได้ยินก็โกรธเพราะความเข้าใจว่า “ลื้อ” ที่เจ๊กอู้นั้นหมายถึงเผ่าพันธุ์ของตน เลยชี้หน้าด่าเจ๊ก “บ่าอั๊วะสึ่ง บ่าอั๊วะง่าว บ่าอั๊วะชาติหมา”

ลูกจ้างสาว

นิทานมุขตลก
ที่โรงงานทำแปรงขัดพื้น ลูกจ้างสาวมีปัญหาคือหมอยกำลังขึ้น ไปถามแม่ แม่ก็ไม่รู้จะอธิบายหยั่งใด ก็เลยไปปรึกษากับนายจ้างคืออาแป๊ะ อาแป๊ะอาสาอธิบายหื้อ อาแป๊ะก็เรียกลูกจ้างมาบอกว่า “ลื้อไม่ต้องตกใจ มันเป็นธรรมชาติ ทุกคนมีเหมือนกัน ดูของอั๊วะนี่สิ” อาแป๊ะลงทุนถอดเตี่ยว เพื่อเอาธรรมชาติหื้อลูกจ้างสาวดู ลูกจ้างสาวหันจะอั้นก็ร้องลั่นขอลาออก โดยบอกกับแม่ว่า “ขนาดอยู่บ่เมิน ข้าเจ้าก็มีขนแปรงติดแล้ว ถ้าอยู่เมินหยั่งอาแป๊ะข้าก็ถ้าจะมีด้ามแปรงติดมาแหม”

ลูกเขยกรุงเทพ

นิทานมุขตลก
บ้านหนึ่งมีลูกสาว แล้วลูกสาวแต่งงานกับหนุ่มกรุงเทพ ลูกเขยยังไม่เข้าใจภาษาเหนือดีนัก วันหนึ่งพอได้เวลาอาหารเย็น แม่ยายทำอาหารหลายอย่างรวมทั้งกะบองฟักทองหรือฟักทองทอด พ่อตาก็อยากจะให้ลูกเขยทานอาหารมากๆ เลยคะยั้นคะยอว่า “กินเยอะๆ แกงแคก็มี จิ้นปิ้งก็มี แกงฮังเลก็มี” แต่ลูกเขยยังไม่หิว เลยไม่ค่อยทานอะไรมาก พ่อตาเห็นเลยคิดว่าลูกเขยอาจจะทานอาหารเหนือไม่ได้ เลยบอกว่า “ไม่กินแกงเหรอ งั้นกินกะบองก็ได้” ลูกเขยได้ยินก็ตกใจ เพราะเข้าใจว่าพ่อตาโมโหที่ตนไม่ยอมกินอะไรถึงกับจะเอากระบองมาฟาด เลยวิ่งหนีลงจากบ้านไม่คิดชีวิต

ศัพท์ของคนใต้

นิทานมุขตลก
คนทางเหนือไปทัศนาจรทางใต้ พอรถจอด คนใต้ที่ขายของก็จะกำถาดใส่ครัวมาขาย เอิ้นกันซ้าว แม่ญิงเอิ้นว่า “เข้าไหมน้า น้าเข้าไหมน้า” ป้อจายเอิ้นว่า “เข้าคับเข้า เข้าคับเข้า” แหมคนเอิ้น “หรี่คิด หรี่คิด หรี่คิด” คนเหนือใคร่รู้ว่าเป็นอะหยังก็ซื้อเอามากอย เผื่อหยิบขึ้นมาเป็นบุหรี่กับไม้ขีด คนใต้มันอู้ย่อเอาหรี่มาตัว เอาขีดมาตัว แหมกำมีคนมาเอิ้นแหม “แข็งไหมน้า น้าแข็งไหมน้า” “แข็งเขิงอะหยัง มา 2-3 วันแล้ว” เป็นว่าเปิ้นถามขายน้ำแข็ง

อั๊วะอาย

นิทานมุขตลก
ลุงคำนั่งกินถั่วดินอยู่ เห็นชายจีนอายุมากเดินผ่านมาก็ร้องชวนชายจีนคนนั้นกินถั่วดิน ชายจีนชราคนนั้นตอบว่า “อั๊วะอาย...อั๊วะบ่กิน” ลุงคำ “กินเทอะน่า หมู่เดียวกัน จะไปอายไผที่ไหน” ชายจีน “บ่าใช่...อั๊วะอายแค็กๆ”

อายุวัฒแป๊ะฯ

นิทานมุขตลก
มีตุ๊พ่อตนหนึ่งได้รับนิมนต์จากอาโก ซึ่งเป็นคนจีนหื้อไปในงานขึ้นบ้านใหม่ของตน เมื่อพิธีจบแล้ว ตุ๊พ่อก็ปันพรหื้อ “อายุวัฒโก ธนวัฒโก สิริวัฒโก ยสวัฒโก พลวัฒโก วัณณวัฒโก สุขวัฒโก โหตุ สัพพทา” ในงานนั้นเพื่อนสนิทของอาโกคืออาแป๊ะก็ได้มาช่วยงานอย่างแข็งขันตั้งแต่ต้น เมื่อตุ๊เจ้าสวดว่า “อายุวัฒโก” อาแป๊ะก็ยินดียิ่งนักที่ได้ยินเสียงสวดออกมาเป็นชื่ออาโกเพื่อนรัก จึงตั้งใจว่าในงานขึ้นบ้านใหม่ของตนก็จะนิมนต์ตุ๊เจ้าตนนี้ไปสวด ในที่สุดก็เป็นจริงตามตั้งใจ อาแป๊ะจึงนิมนต์ตุ๊เจ้าตนเดิมไปสวดในงานขึ้นบ้านใหม่ของตน เมื่อพิธีเสร็จตุ๊เจ้าก็ปันพร “อายุวัฒโก ธนวัฒโก ฯลฯ” อาแป๊ะได้ยินรู้สึกขัดหูขัดความตั้งใจก็เลยท้วงขึ้นว่า “หลวงพ่อ อั๊วะนี้บ่ใช่อาโกนา อั๊วะนี้อาแป๊ะนา” ตุ๊พ่อได้ยินก็เข้าใจความรู้สึก จึงเปลี่ยนแปลงบทสวดใหม่ด้วยปัญญาไวว่า “อายุวัฒแป๊ะ ธนวัฒแป๊ะ สิริวัฒแป๊ะ ฯลฯ”

อ้ายขาหมู

นิทานมุขตลก
กาลครั้งหนึ่ง มีสองผัวเมียอาศัยอยู่ในเขตชนบทแห่งหนึ่ง ทั้งคู่มีลูกชายอยู่คนเดียว ลูกชายคนนี้เป็นคนฉลาดแกมโกง ส่วนผู้เป็นพ่อไปปักหลักทำงานอยู่ที่ห้วย ส่วนผู้เป็นแม่อยู่บ้าน ก็จัดการหุงข้าวหาปลาแล้วให้ลูกเดินเอาห่อข้าวไปส่งให้พ่อทุกวันๆ แต่ต่อมาวันหนึ่ง ลูกชายไปส่งข้าวให้พ่อ พ่อก็ถามว่าทำไมถึงมาส่งข้าวสายนัก จึงกำชับลูกชายไปว่า "วันพรุ่งนี้มึงมาแต่เช้าหน่อยนะ มึงมาส่งข้าวทีไรก็มาสาย” แต่พอถึงวันรุ่งขึ้น ลูกชายก็กลับมาส่งข้าวสายยิ่งกว่าทุกวัน พ่อจึงถามว่า "ทำไมถึงมาสายขนาดนี้” ลูกชายก็โกหกพ่อไปว่า "แม่ตายน่ะสิพ่อ มัวแต่ยุ่งเผาศพแม่ เลยมาสาย” พ่อได้ยินดังนั้นก็ตกใจจึงจัดแจงจะกลับบ้าน แต่ลูกชายก็ห้ามไว้ "ไม่ต้องหรอกพ่อ ไม่ต้องกลับหรอก” พ่อก็เถียงว่า "ทำไมวะ ก็กูจะกลับ” ลูกชายจึงบอกพ่อไปว่า "ไม่ต้องกลับหรอก พ่อ กลับไปเห็นข้าวของของแม่ก็จะร้องไห้อีก” พ่อมันได้ฟังก็เห็นจริงจึงไม่กลับบ้าน ฝ่ายลูกชายกลับถึงบ้านค่ำ แม่ก็ถามว่า "ทำไมวันนี้กลับบ้านค่ำ” ลูกชายก็ตอบไปว่า “พ่อตายน่ะแม่ ผมไม่รู้จะทำยังไงก็เลยอยู่รอฝังศพ จะจัดการคนเดียวก็ไม่ไหว พรุ่งนี้ค่อยไปเผา” ผู้เป็นแม่ก็ตกใจ คิดว่าพรุ่งนี้จะไปเผาศพผัว แต่ลูกชายเจ้าเล่ห์ก็บอกว่าไม่ต้องไป เดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งไปเปล่าๆ วันรุ่งขึ้น ลูกชายเจ้าเล่ห์ก็ออกจากบ้านไปยังห้วย พ่อก็ถามว่า "มึงเผาศพแม่เสร็จแล้วเหรอ” ลูกชายก็ตอบไปว่า "เสร็จแล้วล่ะพ่อ เออ เมื่อกี้ ผมเห็นใครก็ไม่รู้เหมือนแม่จริงๆ เลย ไว้ผมจะพามาให้พ่อดู พ่อจะเอาไหม” พ่อได้ยินก็เอ็ดเข้าให้ "มึงอย่ามาพูดโง่ๆ” "เอ๋า เหมือนจริงๆ นะพ่อ” ลูกชายยืนยันหนักแน่น ผู้เป็นพ่อได้ยินดังนั้นก็เลยพูดว่า “ถ้าว่าหน้าเหมือนแม่มึงอย่างที่พูดจริงก็ดีสิ วันไหนมึงจะพาแม่ใหม่มึงมาล่ะ” ลูกชายก็บ่ายเบี่ยงไปว่า "ยังไม่รู้เลยพ่อ จะไปหาฤกษ์หายามก่อน” พอตกเย็นวันนั้น ลูกชายก็กลับไปบ้าน ก็ไปบอกแม่มันว่า "แม่ วันนี้ผมไปเผาศพพ่อแล้วเลยไปห้วยมา ไปเห็นลุงที่ไหนไม่รู้หน้าเหมือนพ่อจริงๆ ผมเอามาไว้ที่ไร่ว่าจะเอามาหื้อแม่ แม่จะเอาไหม” ผู้เป็นแม่ได้ฟังก็ร้องขึ้นทันที "ไอ้โง่ พ่อมึงตายแล้วก็ให้แล้วไปสิ” ลูกชายก็ยืนยันหนักแน่น "อ้าว มันเหมือนจริงๆนะแม่” ผู้เป็นแม่ได้ฟังดังนั้นก็นึกดีใจเหมือนกันว่ามีคนหน้าเหมือนสามีของตน จึงตอบลูกชายไปว่า “ไม่รู้ล่ะ ถ้ามึงว่าเหมือนจริงๆ ก็แล้วแต่มึงตัดสินใจก็แล้วกัน เอาคนที่มึงชอบก็แล้วกัน” พอเห็นว่าทั้งพ่อและแม่ยินยอมอย่างนั้น รุ่งเช้าอีกวันหนึ่ง ลูกชายก็ไปบอกพ่อว่า “พ่อ วันพรุ่งนี้ผมจะเอาแม่ใหม่มานะ พ่อฆ่าหมูรอไว้นะ" จากนั้นก็มาบอกให้แม่ “แม่ แม่ฆ่าหมูรอไว้นะ“ พ่อมันก็แต่งตัวเสียหล่อ แม่ก็แต่งตัวสวยรอ ส่วนลูกชายก็กำลังทุบหมู ขูดหมูอยู่ พ่อมันก็มา แม่มันก็แอบดูเพราะอยากเห็นหน้าพ่อใหม่ พอพ่อมันมามาถึงถามกันไปถามกันมาก็รู้ว่าถูกลูกชายหลอก ก็เลยคว้าฆ้อนที่ใช้ทุบหมูนั้นไล่ตีลูกของมัน ฝ่ายลูกก็ทันคว้าได้ขาหมู ขาเดียว ก็วิ่งไป เรื่องราวมันวุ่นวายก็เพราะลูกชายหัวหมอก่อเรื่องนั่นเอง

เจ๊กตานขันข้าว

นิทานมุขตลก
มีเจ๊กคนหนึ่งหันลำไยของตุ๊เจ้ากำลังงาม ก็หวังอุ่นใจจะได้ติดต่อซื้อขาย ก็อุตส่าห์ไปซื้อปลาหมึก ซื้อกุ้งอย่างดีๆ ไปตานตุ๊เจ้าแล้วก็ลวดถามซื้อลำไย แต่ตุ๊เจ้าเพิ่นบ่ขายหื้อ วันหนึ่งก็มีคนมาถามว่า “เป็นจะได อาเสี่ย จะใดบ่ไปตานวัดนั้นแหม” “โฮะ ผงบ่ไปแล้ว ตุ๊เจ้ามังบ่รู้คุงเรา” “เป็นจะใดบ่รู้คุณ” “ผงนา อุตส่าห์ซื้อของกินดีๆ ลำๆ ไปให้มังกินนา ซื้อปลาหมึก ซื้อกุ้งดีๆ ทำต้มยำไปตางให้มังกิง พอมังมีลำไย มังบ่ขายหื้อผง ไปขายหื้อสูเหีย มังบ่รู้คุงผง ผงเลยบ่ไปแหมซ้ำแล้ว”

เจ๊กไปนิมนต์ตุ๊เจ้า

นิทานมุขตลก
มีเจ๊กคนหนึ่งรู้ภาษาไทยบ้างแต่ว่าไม่ค่อยลึกซึ้ง บังเอิญเมียมาตาย ทีนี้จะไปนิมนต์ตุ๊เจ้าที่ไหนก็บ่มี เปิ้นไปรับตานเหียหมดเพราะเป็นวันประเพณีทางศาสนาพุทธ พอไปแหมวันหนึ่งก็เอิ้นถามตุ๊เจ้าวัดหั้นว่า “ตุ๊เจ้าๆ ตุ๊เจ้านี้มีกี่องค์ มีเท่าไหร่อั๊วะเหมาแม่มังหมก” ตุ๊เจ้าบอกว่า “วัดนี้มีนักเหมือนกัน แต่ไปรับตานเหียหมด เหลืออาตมากับพระบวชใหม่นี้สององค์” “เอ่อ...อั๊วะเหมาแม่มังหมก นิมงไปเดี๋ยวนี้ ไพสวกสุกุงหื้อเมียอั๊วะ เมียอั๊วะตาย เมียอั๊วะชื่อบัวแก้ว” ทีนี้เจ็กก็เอาตุ๊เจ้าขึ้นรถไป ไปบังสุกุลศพ พอตุ๊เจ้าสวดบังสุกุลว่า “อนิจจา วัฏฏสังขารา อุปัททวยทัมมิโน อุปัชชิตวา นรุฌชันติ วูปสโม สุโข” แล้วก็ชักผ้าบังสุกุลไป เจ๊กนั้นก็ว่า “ไอ้หยา..ลื้อพูกอะไรไม่รู้อ่ะ เอาไปสิบบาท” แล้วก็นิมนต์ตุ๊เจ้าแหมคนไปชักผ้าบังสุกุล ซ้ำเป็นตุ๊เจ้าบวชใหม่ ท่องอะหยังบ่ได้สักอย่าง หันตุ๊ตนก่อนสวดบังสุกุลแล้วเจ๊กว่าหื้อก็เลยคึดร่ำเอาคนเดียว “โอ...โยมแก้วก็ตายไปแล้วหื้อขึ้นสวรรค์ ตั้งนี้ไปก็ขอหื้ออยู่สุขนิรันดร์ทุกวันคืน วูปสโม สุโข” “อ้า....ลื้อพูกดี อั๊วะให้ยี่จั๊บอ่ะ”

เมียมีชู้

นิทานมุขตลก
เมียมันใคร่หื้อผัวมันตาบอด มันก็เลยไปไหว้พระเจ้า ทีนี้ผัวมันฮู้ว่าเมียมันจะไปไหว้พระเจ้า มันก็ฟั่งไปก่อน ฟั่งไปอยู่ทางหลังพระเจ้า เมียมันก็เข้าไปกราบไปไหว้ว่ายะจะใดจะหื้อผัวมันตาบอด พระเจ้านั้นก็ปากคือผัวมันนะ “โหะ ไปยากหยัง ถ้าจะใคร่หื้อพ่อออกตาบอดก็เอาเหล้าดีๆ สักขวดหนึ่ง ต้มไก่ หื้อเอาไก่แม่ดำเน่อ ไก่แม่ดำสองตัว ที่มันมีไข่ เอาไปสู่มันกินเต๊อะ ตามันตึงบ่หันละ” เมียมันก็ฟั่งมาบ้าน มาแผวเมื่อแลงก็เซาะไก่ดำมาต้มเอาเหล้าเด็ดๆ มาหื้อผัวมัน “สู วันนี้จะเลี้ยงสูหื้อกินดีๆ ลำๆ” ผัวมันก็กิน ใส่เหล้า กินแล้วหลับ พูกเช้าลุกมา มันก็ว่า “โห ตาข้ายังบ่หันหาสูง หา” “โห ไปฮู้ได้จะได” “สู เอาเหล้าเอาไก่มาหื้อข้ากินเนี่ยะ ตาบ่หัน บ่าเดี่ยวนี่น้า เอาน้ำมาหื้อข้าลอ” แต่งงมๆ ซวามๆ ไปทีนี้มันก็ใคร่ลองว่ามันจะตาบอดแท้กา เมียมันก็เอาข้าวมาตากที่ชาน “สู นั่งนี่ ผ่อข้าวผ่อไก่เน่อ จะไปหื้อไก่มากินข้าว” “โห ข้าจะไปหันจะใดเนี่ยะ” “ก็ฟังเสียงมันสับมันหยัง ก็ไล่มันไปกะ” “เออๆ” ทีนี้มันก็ย่องๆ ไปเปี๋ยดุ้นหลัง มันฮู้แล้วว่าเมียมันนะจะมาสับ กำเดียวเมียมันก็มา แต่งขึ้นมาสับข้าวก๊อก ก๊อก ก๊อก “เซอะๆๆ” มันก็ไล่ไก่หื้อไป กำเดียวเมียมันก็มาสับข้าวแหม มันก็เอาค้อนขว้างจดเข้าไปที่หน้าผากเมียมัน เมียมันก็ฮู้ว่ามันตาบอดแท้ลู่ ใส่แผล ใส่ยาอะหยังดีแล้ว ทีนี้ก็นัดชู้มาเล่น บอกว่า “บ่ถ้ากลัว ผัวข้าตาบอดแล้ว มาเต๊อะ” ผัวมันหันเมียมันนัดชู้มา มันก็แต่งบ่หัน เมียมันก็เอาชู้มันไปนอน ไปกอด ไปเล่นเมื่อค่ำเมื่อคืน ทีนี้ตกมาเมื่อเช้ามันจะไปจ่ายกาด ทีนี้ชู้มันจะเมือ มันก็ว่า “อยู่เนี่ยะๆ บ่ต้องเมือ อยู่เนี่ยะ ข้าจะไปจ่ายกาดกำเดียวจะมา” “ยะจะใด จะหื้อข้าไปอยู่ไหน” มันมีไหอยู่แก่นหนึ่ง ทีนี้มันก็เข้าไปอยู่ในไหนึ่งเมี่ยง ไอ่คนที่แกล้งตาบอดมันก็ฟั่งไปต้มน้ำจนน้ำเดือดมันก็เอามาหล่อใส่ไห ชู้ของเมียมันก็ตายขำในหั้น มันหล่อน้ำเดือดแล้วก็ไปหายสอย เมียมันมาก็บ่ไปผ่อผัวมันเตื้อ สดเข้าไปที่ไหของชู้มัน ไปผ่อ ตาเหลือกสากกาก “ปอดท้อ เนอะ ทำตาเหลือกสากกาก เกี้ยดหื้อข้าไปกาดเมินก้า” ว่าเล่นว่าหยอกชู้มันอยู่ โห ทีนี้ไปยุกยุ่นยุกยุ่นอย่างใดก็ดักแซ็บ จะยะจะใดนี่ กูนี่เป็นโทษ ตกค่ำมาก็เอาไหมาใส่ เอาผ้าเข้าปก แล้วก็ไปอู้ชาวบ้านว่ามีไหเงินบ่รู้ว่าจะเอาไปไว้ที่ไหน กลัวเปิ้นมาปล้นมาจี้ กลัวเปิ้นมาลัก “ละบ่าเดี่ยวนี้ มีที่ไหน” “บ่าเดี่ยวนี้มีตั้งไว้ในเฮือนหั้นนา” ทีนี้หมู่ขโมยได้ยินก็พากันเข้าไปหามไหล่น เอาล่องโต้ง ไอ่คนตวยก้นก็เอามือจกเข้าไป จวบใส่หัว ก็ว่า “คนบะ คนบะ ล่น ล่น ล่น” ไอ่คนอยู่ทางหน้าก็นึกว่าคนไล่ตวยมา ก็ล่นไปตึกๆ ไอ่คนหลังก็ว่า “บ่ใช่นา คนอยู่ในนี้นา” ก็ซัดลง บั้ง เมื่ออั้นก็พ้นเขตบ้านแล้ว อี่นั้นก็เลยบ่มีผัว

เลือกผู้ใหญ่บ้าน

นิทานมุขตลก
ในการเลือกผู้ใหญ่แห่งหนึ่ง หมู่บ้านนั้นเป็นกะเหรี่ยงโป พอจะเลือกผู้ใหญ่บ้านที่พูดภาษาไทยได้ นายอำเภอจึงคิดจะเฟ้นหาคนที่สามารถนับเลข 1-100 ได้ เพื่อแต่งตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้าน ครั้งนั้นมีคนมาสมัคร 4-5 คน คนแรกก็เริ่มนับ “....สิบ สิบเอ็ด สิบสอง....สิบห้า สิบหก สิบเก้า.....” นายอำเภอตะโกนว่า “บ่เอา บ่เอา นับเลขเท่าอี้บ่ได้ก็เป็นผู้ใหญ่บ้านบ่ได้” คนต่อไปนับเลขได้จำนวนมากขึ้นอีก “.....ยี่สิบเอ็ด ยี่สิบสอง.....สามสิบ” นายอำเภอตะโกนว่า “บ่ไหว บ่ไหว” ผ่านไปสามสี่คนก็ยังคงเหมือนเคย มาถึงคนสุดท้ายที่เก่งกว่าเพื่อน ชาวบ้านบอกว่าเรียนเก่ง คนนั้นก็นับเลขไปเรื่อยๆ จนถึง “เก้าสิบ” เริ่มมีเสียงอื้ออึงด้วยความดีใจจากชาวบ้าน ชายคนนั้นก็นับเลขไปเรื่อยๆ เมื่อมาถึงเก้าสิบ นายอำเภอก็ดีใจ ชาวบ้านก็เริ่มตื่นเต้นและดีใจว่าคงจะได้มีพ่อหลวงกับเขาบ้าง กะเหรี่ยงคนนั้นก็นับต่อไปจนถึง “เก้าสิบหก” นายอำเภอก็ยิ้มเต็มที่ “....เก้าสิบเจ็ด เก้าสิบแปด เก้าสิบเก้า.....เจ็ดสิบ” นายอำเภอจะเป็นลมและล้มเลิกการเลือกผู้ใหญ่บ้าน หมู่บ้านนี้จึงไม่มีผู้ใหญ่บ้านเลย

เสี่ยวฮัก

นิทานมุขตลก
เสี่ยวฮัก มันเอาเสี่ยวมันมาบ้าน เขาเป็นคนทุกข์คนยาก บ่มีข้าวกิน ทีนี้มันก็ไปอาบน้ำมาเมื่อค่ำ มันก็ดังไฟหื้อเสี่ยวมันหิง เอาผ้าต่องคลุมหื้อ เอาผ้าต่องตัวเก่านั้นเนาะคลุมหื้อ แล้วมันก็ไปเซาะข้าวสุก เมียมันก็นึกว่าผัวมันนั่งหิงไฟ ล่นมา เอาหัวเมอะกับหลังเสี่ยว “โอะ บ่หล้างข้าวก็บ่มี เอาเปิ้นมาเฮือน” “เออ ข้าห่อมาแล้ว ทีนี้ผัวมันปิ๊กมาก็มากินข้าว เอาปลาทูมากิน ลูกมันมีอยู่หั้นก็นั่งส่อง “แม่ๆ จะไปกินข้าวกับเปิ้นเน่อ ถ้าเปิ้นกอนแล้วค่อยกิน” มันไปอยู่หั้นส่องเปิ้นกิน เปิ้นกินปลาทูผากหนึ่งเสี้ยง เปิ้นก็ปิ้นแหมผากหนึ่ง ลูกว่า “แม่ๆ เปิ้นปิ้นแล้ว” ฮอดต่าจะนอนก็บอก “แม่ๆ เอาสะลีออกมา” เมียมันก็ขาบอยู่ในหั้นเนาะ “แม่ เอาสะลีออกมาหื้อพ่อเสี่ยวโละ” เมียมันก็เหลือวิสัยแท้ ก็เอาผ้าก้อบโจ้งออกมา งิ้วฟุ้งเต็มหอเต็มเฮือนหั้น มันก็เมือเหียนา มันยังบ่หลาบเตื้อ ปิ๊กมาแหมละ เมินๆ นานๆ ก็ปิ๊กมาแหมละ เสี่ยวมันก็บ่มีอยู่เฮือน เมียมันอู้ว่าผัวมันบ่มีเฮือนก็รับต้อนอย่างดีเนาะ “พ่อเสี่ยวลุกบ้านมาก๊ะ เออ พ่อเสี่ยวเหย บ่าเดี่ยวนี้พ่อละอ่อนมันบ่เหมือนตะก่อน มันเป็นผีบ้า กันไผขึ้นเฮือนมามันก็เอาแก่นต่ำค่วนก้นเปิ้นอี้นา กันเป็นคนอื่นข้าตึงบ่บอก อันนี้เป็นพ่อเสี่ยวนะข้าถึงได้บอก” พ่อเสี่ยวก็กลัว ฟั่งเมือ ฟั่งลงเฮือนมาเหีย กำเดียวผัวมันเข้าบ้านมา “เออ มาบ่ะเดี่ยว พ่อเสี่ยวพองหาลงเฮือนไปนี่ มันขอแก่นต๋ำข้า ข้าบ่หื้อ” “โฮ แก๋นต่ำบ่ดาย สูบ่หล้างจะขาง” มันกำแก่นต๋ำล่นตวยก้นเสี่ยว มันฮ้องตวย “เสี่ยวๆ” กันเสี่ยวเหลียวผ่อมันยื่นแก่นต๋ำหื้อ “เอ๊าะ” ปู่นั้นหวังว่ามันจะเอาค่วนก้น ซ้ำล่นติกๆ ตั้งวันนั้นมันบ่มาแถมซ้ำ

แม่ญิงปากนัก

นิทานมุขตลก
มันกับปู่นั้นไปเยียะไฮ่เดือนแปด ปัดโทะข้าวป้างมันงวงเท่าแขนๆ นิ มันไปตึงวันๆ มันก็ว่า “โอ สู แหมสักสี่ห้าวันเต๊อะ ข้าวป้างเฮาจะแก่แล้ว เฮาจะได้กินข้าวป้างแล้ว” ไปแหมวันหนึ่ง ช้างกวนเบ๊อะกวนเบ๋อ ปัดโทะ เคียดหื้อช้างหน่ะ สดตวยหาช้างก็บ่ปะ แหมวันหนึ่งมันมาบุกแหม เป็นว่าช้างมาจากสวรรค์ลุกชั้นป้าลงมา ปัดโทะกำนี้ กูจะได้ช้างละกำนี้ เปี๋ยหืนหั้นวิ่งเข้าไป กันมันหล่อก็จะยิง ช้างบ่หล่อซักกำ ทีนั้นมันก็งอมเข้ากำหางช้างหั้น จะจับใบหูมันก็บ่หื้อจับ เหวี่ยงไปเหวี่ยงมาได้ก้ากำหาง ช้างกินข้างป้างติกๆ กินอิ่มแล้วก็ขึ้นไปบนชั้นฟ้าปู้น มันก็บ่สวะนา ปู่พรานนา ติดหางขึ้นเมืองหนะ ขึ้นปู้นได้เจ็ดวันเจ็ดคืน ปัดโทะ เมียมันก็โบะบ่าป๊าว เอาหังแปงเครื่องจะทานหื้อปู่พราน ได้เจ็ดวัน ช้างนั้นอยากกินข้าวป้าง ช้างนั้นก็ลงมากินข้าวป้างอย่างเก่า ปู่พรานก็ติดลงมา มันก็ฮ้องเมียมันว่า “สู โบะบ่าป๊าวอย่างใด” “โอ สูตายไปแล้ว สูจะไปมาเป็นเผดเป็นผี” “โอ้ ข้าบ่ตายนาสูง” มันก็บอกเมียมัน “ข้าไปแอ่วสวรรค์ชั้นฟ้า” เมียมันก็สวะเครื่องล่นมา “โอ แม่นแท้ละ ปู่พราน คิงหน่ะบ่ใช่เป็นเผดเป็นผีที่ไหนสักกำลูนิ สูไปอยู่ที่ไหนมา” “ข้าไปแอ่วเมืองสวรรค์ชั้นฟ้า” “จะไปอู้ลมปู่พราน ไปเมืออย่างใด” “ข้าเมือโตยช้างสวรรค์” “ปัดโทะ ข้าก็ใคร่หันแหละ” “อดก่อน ใคร่หัน แถมเจ็ดวันข้าวป้างมีอยู่ มันจะมากินข้าวป้าง” ไปแถมเจ็ดวันมันก็บอกหื้อเมียมัน “สูตักน้ำหื้อเต็มหม้อเต็มไหแล้ว เฮาจะไปไร่โตยกัน ไปกอยสวรรค์ชั้นฟ้า กันว่าสูงไปหย่องโตยก้นข้า กันว่าข้าเปี๋ยหางช้างแล้วสูเปี๋ยแอวข้า จะไปอู้หื้อไผเน้อ” “เออ ข้าตึงบ่อู้หื้อไผ” ปัดโทะ ไปตักน้ำตักท่าอู้หื้อเจ้าหู่ฟังตึงห้าร้อยก่อน เป็นว่าอันนี้หละแม่ญิงปากนัก เขาว่าจะไปปากมันตึงบ่ฟัง ไปท่าก็ไปอู้หื้อเปิ้นฟังตึงห้าร้อยคน ปัดโทะ ทีนี้ก็ไปหันใส่ช้างกินข้าวป้าง ปู่พรานนั้นก็ว่า “สู ค่อยหย่องไปเตื้อหน้อยๆ เน่อ” ปัดโทะ ย่ำมาเหียลึกๆ “อันนั้นไปที่ไหนล้ำเหลือน่ะ” “ก็เปิ้นจะไปโตยตัวน่าก่ะ” “ไปอู้เมื่อใดหละ” “ก็ไปตักน้ำตะเจ๊า” “เออ นี่แหละว่าจะไปอู้นักๆ ตัวหองอู้นักลู่” กำนั้นปู่พรานก็ลากก้วยหางช้างสวรรค์ เมียมันก็ก้วบเอาปู่พราน เอาละหมู่นั้นก่องแอวเมียมัน จ่องหางช้างวางกั๋น ปัดโทะ ขึ้นบนสวรรค์ชั้นฟ้าปู้นนะ ใกล้จะแผวสวรรค์ชั้นฟ้า ปู่พรานว่า “สูจะไปอู้นักเน่อ บนสวรรค์ เปิ้นบ่ชอบคนอู้นัก เปิ้นชอบความสงบ” เมียมันก็ถามอยู่อย่างอั้นละ “เอ บ่าป๊าวที่โบะวันนั้นเท่าใดก๊อ ปู่พราน” ปู่พรานก็เคียด เมื่อใดก็ถาม ตึงว่าจะไปเดือดเน้อ จะเข้าเมืองสวรรค์ชั้นฟ้าแล้วเปิ้นชอบความสงบ อันนั้นก็ขึ้นไปติกๆ ปู่พรานนั้นก็เคียดน่อ มันหมิ้งน่ะ มันก็เต๊ะแหล่ “ก็แก่นเพ้” เป็นว่าสวะหางช้าง ปัดโทะ หวืดหวาดๆ ลงมาเป็นหมู่ ตายหมด

แม้วฟังธรรม

นิทานมุขตลก
ในกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีหมู่บ้านแม้วหมู่หนึ่ง สำหรับหมู่แม้วหมู่นี้ อาศัยอยู่ตามห้วยตามดอน บ่ใช่อยู่อย่างเฮานี้นา บ่ใช่เหมือนกัน เป็นแม้วทำบุญสุนทาน คือชอบฟังน้ำฟังธรรม วันหนึ่งๆ จะต้องมีพระมาเทศน์หื้อฟัง ตุ๊เจ้ามาเทศน์หื้อฟังเป็นประจำอยู่เสมอ คือว่าการเทศนี้หมู่แม้วบ่ใช่หื้อมาเทศน์บ่ดาย จะต้องติดกัณฑ์เทศน์ตวย กัณฑ์เทศน์บ่ใช่หน้อยๆ บ่ต่ำกว่าร้อย ด้วยอาศัยกัณฑ์เทศน์ของหมู่แม้วหมู่นั้น อยู่มาวันหนึ่ง ก็มีป้อจายคนหนึ่ง เป็นคนธรรมดาอย่างเฮาเนี้ยะ ป้อจายคนนั้นเคยหันหมู่แม้วนี้ฟังธรรม ติดกัณฑ์เทศน์ตวยก็ติดใคร่ได้เงิน เกิดความโลภขึ้นสมองละ ก็เลยหาวิธีการละตอนนั้น หาวิธีการอย่างใดก็เลยกึ้ดขึ้นมาว่า “เออ แม้วหมู่นี้ท่าจะบ่ฉลาดพอ ข้าเนี้ยะจะปลอมเป็นพระดีกว่า” แล้วป้อจายคนนั้นก็ผกผ่อตึงวัน มาหันพระมาปันศีลเทศน์ธรรม คือว่าศีลนี้มันพอจะจำได้ สำหรับธรรมนี้มันบ่รู้จะเอาอะหยังมาเทศน์ ปิ๊กไปก็ปลอมเป็นตุ๊เจ้าก่า ไปปลอมเป็นตุ๊เจ้ามา โกนหัวนุ่งห่อมผ้าเหลืองเหีย ตอนนั้นพระคนที่เคยมาก็ยังบ่มาเทศน์เตื้อ มันก็เลยล่วงหน้ามาก่อนตุ๊เจ้าที่บ่ปลอมนั้น มาถึงก็หมู่แม้ววันนี้ว่า “วันนี้มีตุ๊เจ้าใหม่มา คงจะมีเรื่องๆ มาเทศน์หื้อฟัง” แล้วก็ฟั่งเตรียมกัณฑ์เทศน์กัน ช่วยกันออกคนละเล็กละน้อย ใส่กัณฑ์เทศน์หื้อตุ๊เจ้าตนั้น ตุ๊เจ้าตนนั้นก็หยากหยายขึ้นธรรมาสน์บ่ช้างเยียะจะใดน่อ สั่นก็สั่น ตอนแรกไหว้พระเสร็จก็ปันศีลก่า อันนั้นศีลนั้นมันจำได้เพราะมันจำมา แต่ขึ้นธรรมาสน์จะเทศน์ละกำนี้ เหลียวไปเหลียวมา เหลียววอกเหลียววาก บ่ช่างจะเอาธรรมหยังมาเทศน์ พอดีเหลียวไปหันใส่นกจอกมันลงมากินข้าวหมู่แม้ว ก็เลยเอาคำนกจอกมาเป็นธรรมเทศน์ มันเทศน์ว่าจะใด มันก็ว่า “นกจิกนกจอก กินข้าวพ่อออกแล้วก็บินหนี” เทศน์หยั่งอี้ไปเรื่อยๆ โดยจับใจความบ่ได้ ส่วนหมู่แม้วนั้นก็มาสงสัยว่า “เออ ตุ๊เจ้านี่เป็นตุ๊เป็นเจ้า จาใดว่ามาเทศน์เรื่องนกเรื่องหนู โอ หันท่าจะบ่ได้ความแล้วก้า หันท่าจะบ่ได้ความละ” ก็เลยพากันลุกหนีไปไหน ไปบอกหื้อปู่หนานมา มาผ่อมันเป็นจะใด ว่าตุ๊เจ้าตนนี้มาเทศน์เรื่องนกเรื่องหนู แม้วนั้นก็บอกหื้อหนานมา หนานมาก็มาตามคำแม้วบอก พอดีนั้นตุ๊เจ้าซัดตาหันหนานมามาพอดีก็เลยเปลี่ยนจังหวะเปลี่ยนธรรมที่ว่านกจิกนอกจอกกินข้าวพ่อออกแล้วบินหนี เปลี่ยนเป็นว่า “หนานมาเหยๆ รู้แล้วจะไปว่า ชิ้นควายตายห่า เท่าใดเท่ากัน” หนานมานั้นก็เข้าใจทันนึกว่ากัณฑ์เทศน์นั้นเท่าใดเท่านั้น หนานมาก็เลยลุกหนีไปเหีย พอธรรมนั้นจบก็ได้กัณฑ์เทศน์แล้วก็เปิดเลย บ่าแบ่งกันตวยหนานมาที่ได้ว่าไว้ ต่อไปก็มาอยู่วันหนึ่ง ตุ๊เจ้าตนจริงนั้นก็เดินทางมาเพื่อจะมาเทศน์หื้อหมู่แม้วฟังเป็นประจำ พอดีก่อนที่จะมาเจอพระปลอมมาเทศน์เหียก่อน มาแผวก็ขึ้นธรรมาสน์มาเทศน์หื้อหมู่แม้วนั้นฟัง ตุ๊เจ้านั้นก็เทศน์ไปเทศน์มา หมู่บ้านก็ถามว่า “เป็นจาใดตะเจ๊าบ่มา หื้อตุ๊เจ้าตนอื่นมาแทนกา” ตุ๊เจ้าตนนั้นก็ว่า “โฮะ อาตมาบ่ได้หื้อมาแทนลู เป็นจาใด” “ก็ตุ๊เจ้าตนนั้นน่าก่า มาเทศน์เรื่องนกเรื่องหนู มันเทศน์ธรรมอะหยังมาเทศน์เรื่องนกเรื่องหนูว่าอานิสงส์ไร่อี้ล่อ เทศน์อานิสงส์ไร่เนี่ยข้าวมันจะออกดี” ตุ๊เจ้าก็ว่า “โอ บ่ใช่ลายเหียก้าท่านหมู่นี้ ถ้าจะถูกตุ๊เจ้าตนนั้นต้มแน่ๆ” เลยบ่ช่างเยียะใดก็เลยเทศน์เรื่องศรัทธาหรือความเชื่อหื้อหมู่แม้วฟัง นิทานเรื่องนี้สอนหื้อรู้ว่าการเชื่อคนหรืองมงายเชื่อคนง่ายโดยบ่มีเหตุผลก็ได้รับความเสียหายอย่างหมู่แม้วเนี้ยะ

แหวนขมุ

นิทานมุขตลก
มีขมุคนหนึ่งเป็นคนทุกข์ยาก สิ่งที่มีค่าติดตัวคือแหวนพลอยแดง ขมุคนนี้เป็นลูกจ้างอยู่บ้านแขก เมียแขกหันแหวนขมุก็เปิงใจลักผ่อแต่บ่กล้าถามซื้อ ขมุก็กึ้ดหาอุบายเพราะรู้ว่าเมียแขกใคร่ได้แหวน มีวันหนึ่งผัวแขกไปค้าขายต่ งบ้านต่างเมือง ละหื้อเมียแขกอยู่บ้านกับขมุ เมื่อเช้าเมียแขกไปจ่ายกาด ขมุก็ไปนั่งเล่นกลางข่วงบ้าน อวัยวะเพศแข็งโด่ สักพักเมียแขกไปจ่ายกาดปิ๊กมา ขมุก็ร้องทัก “แม่นายๆ” “เมียแขกเหลียวมาหันใส่ก็ด่าขมุว่า “ไอ่ฮ่า ไอ่ควยหลวง” ขมุก็ว่า “ควยหลวงบ่ดาย เยียะบ่เข้า” เมียแขกได้ยินก็เอิ้นว่า “ถ้ามันเข้ามึงจะเอาหยังหื้อกู” “เอาแหวนเนี้ยะ” เมียแขกได้ยิน ด้วยความใคร่ได้แหวนก็ตกลง ปรากฏว่าเยียะเข้าแท้ ขมุก็เลยจำใจเอาแหวนหื้อเมียแขก อยู่มาไม่นาน ผัวแขกไปค้าปิ๊กเข้าบ้านมา หันขมุทำหน้าหมองก็ถามว่า “คิงเป็นหยัง” ขมุตอบว่า “แหวนเราหาย แม่นายเป็นคนเก็บได้” เมียแขกกลัวจะเป็นเรื่องราวใหญ่โต ก็เลยถอดแหวนโยนให้ขมุพร้อมกับกล่าวว่า “เอ้า เอาไป ไอ่วอก”

โจรยอง

นิทานมุขตลก
โจรยองจะเข้าปล้น ก็ทำเป็นหัดพูดภาษาไทยกลาง เมื่อเห็นยองคนหนึ่งเดินผ่านมาก็ตะโกนว่า “ดุกดิกบ่ได้” ชาวยองได้ยินเสียงพูดก็รู้ว่าเป็นยองด้วยกันก็บอกว่า “ยองบ่ปล้นยอง เฮาก็เป็นยองลุ” ว่าแล้วก็วิ่งหนีโจรไปเลย

ไหว้พระเจ้าดัง

นิทานมุขตลก
เมื่อก่อนนั้นมีบ้านหลังหนึ่งอยู่กันสองตายาย เวลาที่ตายายไหว้พระเจ้าก็สวดเสียงดัง คนอยู่บ้านใกล้ก็รำคาญ มีอยู่วันหนึ่งข้างบ้านเกิดทนเสียงดังไม่ไหวก็เลยไปขโมยหัวโขนมา แต่งตัวแล้วแอบย่องๆ ขึ้นหลังคา อยู่ตรงข้างบนสองเฒ่านั้น คนเฒ่าทั้งสองก็เห็นเข้า พอดี เกิดความตกใจแล้วก็มาไหว้พระและหันมาไหว้เทวดาปลอมเอ่ยถามว่า “โอ พ่อเจ้าเทวดา ลงมาทำไมแถวนี้” “เราอยู่ข้างบนสวรรค์นั้นก็รู้สึกร้อนใจ เพราะว่าได้ยินเสียงของเจ้าทั้งสองคนนั้นสวดมนต์เสียงดังไปถึงสวรรค์ เจ้าสองคนนี้มีบุญมากพอแล้ว ไม่สมควรที่จะอยู่บนโลกแล้วเพราะบุญเจ้าสองคนนะมากพอ เราก็เลยจะลงรับเอาตัวของเจ้าไป ไปได้แล้วถึงเวลาไปแล้ว” ตาก็แอบสะกิดข้างยายและกระซิบถาม “จะไปไหมแม่มึง?” “ไม่ ข้ายังไม่อยากไปนะพ่อมึง” “แม่มึงไม่ไปแล้วข้าจะไปกับใครละ จะทำไงดี” “งั้นพ่อมึงก็ถามเทวดาดูลิ” ฝ่ายตาก็ถามเทวดาปลอมไปว่า “ท่านเทวดา เรายังไม่อยากไปนะ ลูกเราก็หลายคนอยู่นะ” “หากเจ้ายังไม่อยากไป ต่อไปก็อย่าไหว้พระเสียงดังนะ” ตั้งแต่วันนั้นมาสองตายายก็เลยไหว้พระเงียบกริบ

ไอ่แก้ววอก

นิทานมุขตลก
ไอ่แก้ววอกนั้นมันไปปะใส่พ่อสาว พ่อสาวนั้นมีลูกสาวคนหนึ่งงาม มันก็ว่าหื้อพ่อสาวว่า “พ่อเมียๆ” พ่อสาวก็โขดว่า “ไอ่นี่มาดูแควนเฮายะหยังบ่าล้ำบ่าเหลือ กอนคิงได้เป็นลูกจายฮาเยียะการหื้อฮาวันเดียวกินได้ตลอดชีวิต ฮาจะยกลูกสาวหื้อ” “แท้กา” “แท้ก่า” “ทำสัญญาข้าจะทำหื้อวันเดียวกินได้ตลอดชีวิต” ตกลงทำสัญญากันเรียบร้อย มันก็เอามีดมาเหลว เอาเหล็กมาจี ตัดไม้มาแปงกล้องมูยา บ่ทันถึงวันก็เสร็จเรียบร้อย “อันเนี้ยะกินได้ตลอดชีวิต” พ่อสาวก็เลยยกลูกสาวหื้อมัน พอมันได้เป็นลูกจายแล้ว อยู่ไปๆ พ่อเมียก็หน่ายลูกจาย ได้ไปผูกพันกับเศรษฐีคนหนึ่งจะเอาลูกเศรษฐีมาเป็นลูกเขย ได้สัญญากันไว้ จะใกล้วันสัญญามาละก็กลัวจะเสียสัญญา จุลูกจายมันไปนอนโต้ง แล้วหื้อลูกเศรษฐีนั้นมาเล่นชู้กับลูกมัน ทีนี้ไอ่แก้วมันก็รู้ว่าเมียมันมีชู้ มันก็มา มาแผวก็มาตัดไม้บง พ่อเมียมันก็ถามว่า “ลูกจะเยียะหยัง” “จะสานสะเหวียน” “สานสะเหวียนหยัง” “สะเหวียนบุ่งข้าวเชื้อ” มันก็สานบุ่งข้าวเชื้อนั้นจนแล้ว มันเอาไปไว้ปลายตีนเตียงมันหั้น มันก็ไปนอนโต้ง ค่ำมาก็หย่องๆ มามันก็รู้ว่าชู้มีหั้นแล้ว มันลุกโต้งมามีก้าขี้เปอะ ขึ้นเรือนไปตั้งๆ “อี่หน้อยไขป่าตู๋” “บ่าไขเตื้อนา” พ่อเมียมันกับแม่เมียมันก็มา “ลูกมาหยังปอดึกปอดื่น” “มา ฮาตึงจะมา” “ไปฟั่งเข้ามาเตื้อ ไปล้างตีนล้างแข้งก่อนแล้วค่อยเข้ามา” ชู้มันก็เข้าไปในบุ่ง เอาซิ่นเมียมันเข้าปก ทีนี้มันเข้าไปแผวก็นั่งยุ่งเลย “ฮาตึงบ่าหลับ ฮาตึงจะเอาบุ่งฮาไปฟันแล้ว ดาบฮาก็มีนี่ เป็นจาใดฮาจะฟันหมด ไผจะเยียะหยังหื้อฮา” “ขอเต๊อะ ลูก ไปซ่วยแข้งซ่วยขาก่อน” “ฮาบ่าซ่วย ขอวันพูกก่อนเต๊อะ ลุกมาฮาก็จะแบกไปละ” พ่อมันก็ไปบอกหื้อเศรษฐี “ซื้อเต๊อะ หื้อไปซื้อบุ่งนั้นเต๊อะ” “เอ่อ บ่าเป๋นหยัง” ปู่เศรษฐีนั้นก็ไปวกขอซื้อบุ่ง เศรษฐีก็ว่า “จะไปไหน” “จะเอาบุ่งไปฟันนา” “ขอจะไปฟัน ขอเต๊อะ” “ฟันนา ข้าจะฟัน ไผจะไปมาห้ามข้า” “หยั่งอั้นขอซื้อเหียเต๊อะ” “บ่ขาย” เศรษฐีก็ต่อราคาไปจนถึงสามพัน “เออ เอาเงินมา” เศรษฐีก็เอาเงินหื้อมันสามพัน ได้เงินแล้วมันก็เอาใส่กระเป๋า เอาบุ่งขว้างไปกลิ้งกะลุบๆ ก็เลยเลิกกันกับเมียมัน ต่างคนต่างอยู่

ไอ้ตาบอดเอาตัวรอด

นิทานมุขตลก
ยังมีครอบครัวหนึ่งอาศัยอยู่ด้วยกันพ่อ กับลูกสาว พ่อชื่อนายแก้ว ส่วนลูกสาวชื่อเอ้ย นายแก้วเป็นพ่อม่ายมานานเพราะว่าตั้งแต่แม่ของเอ้ยเกิดเอ้ยไม่นานนักก็ตาย นายแก้วจึงต้องเลี้ยงดูลูกสาวเพียงลำพังจนเอ้ยนั้นเติบใหญ่เป็นสาวรุ่นที่หน้าตาค่อนข้างดีทีเดียว วันหนึ่งพ่อก็เรียกเอ้ยมาคุยกันหลังจากที่กินข้าวเย็นด้วยกันเสร็จแล้วนั้น พ่อก็บอกกับเอ้ยว่า “นี่เอ้ย ลูกก็โตเป็นสาวแล้วนะ ส่วนว่าพ่อก็แก่ตัวลงทุกวันจะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ พ่ออยากให้เจ้าแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาซักที เพราะว่าจะได้มีคนคอยดูแลเจ้าพ่อก็จะได้ไม่ต้องห่วงหาอะไรอีกจะได้นอนตายตาหลับซักที” พอดีกับเจ้าบอดตาใสเดินผ่านมาใกล้บ้านของสองพ่อลูกพอดีและก็ได้ยินสองพ่อลูกคุยกันมันก็แอบยืนฟังที่ใต้ถุนบ้านนั้น “แล้วถ้าลูกจะเลือกผู้ชายซักคนมาแต่งงานด้วยละพ่อ ต้องเป็นคนยังไงหรือว่าต้องดูที่ตรงไหนละ” “ลูกต้องเลือกคนที่มือของเขานะค่อนข้างจะหยาบกร้านนะลูก เพราะว่าคนอย่างนี้เขาขยันทำงานทำไร่ ทำนา ทำสวนเก่งเขาจะได้เลี้ยงดูลูกได้นะ” เมื่อพ่อแนะนำลูกสาวอย่างนั้นไปแล้ว เจ้าบอดคิดที่อยากจะได้ลูกสาวของลุงแก้ว อีกวันหนึ่งตอนค่ำๆ ไอ้ตาบอดก็ไปเที่ยวบ้านลุงแก้วกะจะไปจีบลูกสาวลุงแก้ว แต่กว่าจะถึงบ้านลุงแก้วนั้นยากลำบากมากมายตกหลุมตกร่อง ชนนั่นนี่สารพัดเพราะตาก็บอด พอไปถึงมันก็รีบเอาข้าวเหนียวมาปั้นเพื่อที่อยากให้ข้าวติดมือมันแล้วก็ขึ้นไปเที่ยวหาเอ้ย พอตกดึกหน่อยหลังจากที่คุยกับเอ้ยเป็นเวลานาน ไอ้บอดก็จะกลับบ้านแล้วมันก็ค่อยๆ คลำหามือของเอ้ยเพื่อที่จะจับและให้เอ้ยรู้ว่ามือมันนั้นสากหยาบ พอจับมือเอ้ยได้แล้วมันก็ลูบคลำ เอ้ยเขินอายเล็กน้อยและก็รู้ว่ามือของไอ้บอดนั้นสาก หยาบเลยตะโกนขึ้นบอกพ่อว่า “พ่อจ๋า...... เอ้ยเจอคนที่ต้องการแล้ว เหมือนที่พ่อบอกเลย” หลังจากวันนั้นไม่นาน พ่อของเอ้ยก็จัดงานแต่งเล็กๆ ให้กับเอ้ยกับไอ้บอดอยู่กินด้วยกัน วันหนึ่งพ่อเมียก็บอกให้ลูกเขยใหม่นั้นไปไถนา ไอ้บอดก็ออกไปไถนาแต่เนื่องจากมันมองไม่เห็น ก็บังคับควายไปซ้ายๆ ขวาๆ ไถเอาคันนาออกหมด พ่อเมียเดินมาดูก็ตะโกนถาม “นี่ลูกเขย ทำไมไถนาซ้ายขาวอย่างนั้นนะ และยังเอาคันนาออกหมด” “ลูกเขยใหม่ก็ต้องทำคันนาใหม่ ปั้นใหม่สิครับพ่อ” พอเสร็จงานที่นาหมด ไอ้บอดก็แบกอุปกรณ์ต่างๆ กลับบ้าน พอมาถึงที่บ้าน เอ้ยก็บอกสามีของเธอให้ไปอาบน้ำอาบท่าเสียก่อนแล้วคอยมากินข้าวปลาอาหาร ไอ้บอดก็ไปอาบน้ำตรงข้างบ่อน้ำ มันก็หย่อนถังน้ำลงไปเพื่อตักน้ำ แต่ว่าเชือกที่มัดถังน้ำหลุดมือตกลงไปในบ่อน้ำมันจึงต้องเอาบันใดยาวๆ มาหย่อนลงไปในบ่อน้ำแล้วก็ลงไปในบ่อเอาถังน้ำ ขึ้นมา พอขึ้นมาแล้ว เนื่องจากบันใดนั้นยาวเกินปากบ่อน้ำมามาก ไอ้บอดก็ขึ้นไปจนสุดปลายบันใดเลยปากบ่อน้ำมา พ่อตาก็มาเห็นเข้าก็เลยถามไอ้บอดว่า “ลูกเขย.....เจ้าขึ้นไปทำอะไรบนปลายบันใดนั่นนะ” “อ้อ.... ผมขึ้นมาดูน้ำในทุ่งนานะว่ามันท่วมหรือว่าไม่ท่วมหรือว่าน้ำจะแห้งนะพ่อ อยู่ ข้างล่างมองไม่เห็นเลยต้องขึ้นมาดูจากข้างบนนี้นะพ่อ” ไอ้บอดก็เอาตัวรอดของมันไปอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่อาบน้ำเสร็จ เมียก็เรียกให้มากินข้าว “พี่ๆ ขึ้นมากินข้าวได้แล้ว” เรียกเท่าไหร่ก็ไม่มาซักที จนเมียมันต้องลงมาตามหาที่ด้านล่าง ไปเจอไอ้บอดนั้นอยู่ใต้ถุนเรือนเพราะว่าหาทางขึ้นบ้านไม่เจอ เมียมันก็ถาม “พี่ไปทำอะไรใต้ถุนแคบๆ นั้นนะ” “อ้อ พี่เข้ามาดูว่าไม้เรือนเราสมควรจะเปลี่ยนหรือยังนะ” “ออกมากินข้าวได้แล้ว” มันก็ออกมาและขึ้นเรือนตามเมียมันไป แต่ว่าเนื่องจากตามันบอดมองไม่เห็น มันก็เดินไปบนเรือนไปเรื่อยๆ เดินไปเตะขันโตกกับข้าวกระจาย เมียมันก็ตะโกนขึ้นมาด้วยความตกใจว่า “ทำไมพี่ทำอย่างนี้เนี่ย” ไอ้บอดก็ตอบเมียมันว่า “บอกแล้วใช่ไหมว่าข้าไม่กิน ไอ้น้ำพริกอะไรเนี่ย ข้าไม่อยากกิน” "แล้วพี่ทำไมไม่บอกกันดีๆ ละ ทำไมต้องเตะกับข้าวอย่างนี้เนี่ย ข้าไม่อยู่กับพี่แล้ว ออกไปจากบ้านข้าเลย ข้าไม่อยากอยู่กับคนอย่างนี้แล้ว” เมียมันตวาดด้วยความโกรธ “เออ..... ไม่อยู่ก็ได้ ข้าก็ไม่อยากที่จะอยู่เหมือนกันแหละ” เอ้ยเข้าไปในห้องจัดเก็บเสื้อผ้าของไอ้บอดนั้นใส่ห่อผ้าแล้วเอามาให้มัน “เอ๊า.. ห่อเสื้อผ้าของพี่ แล้วออกไปจากบ้านเอ้ยเลยนะ” ไอ้บอดได้ห่อผ้าแล้วก็งมเดินลงบันใดไป พอถึงด้านล่างแล้วเสื้อของมันไปติดอยู่กับหัวราวบันใด พอมันจะเดินไปก็เหมือนมีคนมาดึงเอาไว้มันก็ตะโกนว่า “ไม่ต้องมาดึงข้า ข้าจะไป ยังไงก็จะไปไม่ต้องมาดึงข้าไว้” สองพ่อลูกพอเห็นอย่างนั้นแล้วก็รู้ว่าที่แท้แล้วผัวของเอ้ยเป็นคนตาบอด ทั้งสองก็ปล่อยไอ้บอดไป