จำนวน 13 เรื่อง

ถือผี

นิทานเรื่องผี
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีผีป่าผีดอยอยู่สองดอยด้วยกัน นับถือกันเป็นสหาย รักกันมาก เมื่อแรกเริ่มที่จะมาเป็นเพื่อนกันนั้นก็กินน้ำ สาบานกันว่า ถ้าใครต้องการจะได้อะไร ถ้ามาหามาขอความช่วยเหลือก็จะให้ได้หมด ยกเว้นแค่ลูกเมียที่จะขอไม่ได้ วันนั้นก็มีผู้ชายสามคนเป็นเพื่อนกันเดินทางเข้ามาในป่า แต่ละคนก็เตรียมข้าวปลาอาหารกันเพราะว่าจะไปนอนกลางป่า ทั้งสามคนเมื่อเดินมาถึงกลางป่าก็มืดค่ำ ก็ตกลงจะนอนกันกลางป่าที่มีผีตนหนึ่งรักษาอยู่ สหายคนแรกนั้นถือคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็ไหว้หาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้วนอนหลับ สหายคนที่สองถือคุณพ่อ คุณแม่ก็ไหว้รำลึกถึงคุณพ่อแม่แล้วหลับไป สหายคนที่สามนั้นถือผี ก็ฝากชีวิตไว้กับธรณีเจ้าที่เจ้าแดนที่นี้ให้ปกปักรักษาแล้วก็หลับไป ในคืนนั้น ผีอีกดอยหนึ่งก็มาเยี่ยมเพื่อนผีก็เลยชวนเพื่อนว่า “สหาย วันนี้เราไปเที่ยวในป่าด้วยกันไหม” ผีดอยนั้นก็ตอบไปว่า “โอ วันนี้ข้าไปไม่ได้หรอกเพราะมีแขกแก้วเมืองคนมาพักมานอนที่นี่ ข้าจะต้องอยู่รักษาเขาเลยไปไม่ได้” ผีสหายก็เลยถามว่า “เขามากันกี่คนเรอะ” “มากันสามคน” “เออ ถ้างั้นข้าขอเสียคนหนึ่งเถอะ” ผีดอยนั้นก็ตอบไปว่า “โอ้ ไม่ได้หรอก คนหนึ่งเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้า คนหนึ่งก็มีพ่อแม่คอยปกปักรักษา คนหนึ่งก็ฝากชีวิตไว้กับข้านี่แหละ” ผีตนเป็นเพื่อนได้ยินดังนั้นก็โกรธ เลยต่อว่าสหายของตนไปว่า “ตอนที่สาบานเป็นเพื่อนกันนั้นก็ว่าไว้ว่าไม่ว่าอะไร จะขออะไรก็จะยกให้หมดยกเว้นลูกเมียไม่ใช่เรอะ ตอนนี้ข้ามาขอคนจรนอนป่าก็ไม่แบ่งให้ข้า ลืมคำสาบานไปแล้วเหรอ” ผีดอยตนนั้นก็เลยมาคิดว่า “เออ คนของข้าก็มีคนเดียวเท่านั้น คนที่มันฝากชีวิตจิตใจกับข้านี่น่ะ ถ้างั้นสหายก็เอาคนนี้ไปเถอะ” ผีสหายตนนั้นก็เลยเข้าไปในป่าแล้วแปลงร่างเป็นเสือมาลากเอาคนที่ถือนั้นไปกิน จึงเชื่อกันว่าคนที่ถือผีมันไม่ดีอย่างนี้ จึงไม่นิยมถือผีกัน

ป้าแก้วคอเหนียง

นิทานเรื่องผี
ป้าแก้วกับป้าคำเป็นคนในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ทั้งสองเป็นโรคคอเหนียงหรือโรคคอหอยพอก ซึ่งรักษายังไงก็ไม่หายซักที นับวันยิ่งสร้างความลำบากให้กับทั้งสองคนเป็นอย่างมาก ป้าแก้วก็นั่งคุยกับป้าคำถึงเรื่องราวความลำบากของตนกับโรคคอเหนียงนี้ “เฮ้อ อีคำ กูนี้ลำบากกับโรคคอพอกนี่จริงๆ กูอยากจะตายเสียให้พ้นๆ” ป้าแก้วก็ถามว่า “แล้วมึงจะทำยังไงอีแก้ว กูยังไม่รู้ว่าจะทำยังไงเลย” “กูว่าจะไปอยู่ที่ป่าช้าแล้ว รอความตายอยู่ที่นั่นดีกว่า พอตอนเย็นป้าแก้วก็จัดแจงเอาเสื่อหมอนผ้าห่ม และบุหรี่ขี้โยติดตัวไปนอนที่ป่าช้าท้ายหมู่บ้านเพื่อที่จะรอความตายอยู่ที่นั่น พอตกดึกมาป้าแก้วก็หลับไป ก็มีผีตนหนึ่งมาหาป้าแก้วและบอกป้าแก้วว่า "ป้าแก้วๆ ข้าขอยืมหม้อป้าแก้วหน่อยนะ" ด้วยความสลึมสลือเพราะง่วงนอน ป้าแก้วจึงตอบผีไป "อื่อ เอาไปสิ ข้าก็ยังไม่ได้ใช้ " ผีตนนั้นก็บิดเอาคอเหนียงของป้าแก้วไป เพราะคิดว่าเป็นหม้อ พอเช้าขึ้นมาป้าแก้วรู้สึกตัว คลำดูที่คอของตนเองก็พบว่าโรคคอเหนียงนั้นหายไปแล้ว ป้าแก้วจึงรีบกลับไปที่บ้านของตน ป้าคำก็มาหาป้าแก้วที่บ้านและถามถึงเรื่องราวของคอที่หายดีเป็นปรกติ ป้าแก้วก็เล่าให้ป้าคำทุกอย่างถึงเรื่องราวที่ผีมายืมหม้อและบิดเอาคอเหนียงไป ป้าคำก็อยากที่จะหาย บ้างเย็นวันนั้นก็หอบเสื่อหมอนเครื่องที่ต้องใช้เอาไปนอนที่ป่าช้าท้ายหมู่บ้าน พอตกดึกป้าคำก็หลับไปแล้วผีตนเดิมก็กลับมาอีก และคิดว่าคนที่นอนนั้นเป็นป้าแก้วก็บอกว่า “ป้าแก้วๆ ข้าเอาหม้อที่ยืมไปมาคืนให้ละนะ” ด้วยความสลึมสลือของป้าคำก็ตอบผีไป "อื่อ" ผีตนนั้นก็เอาคอเหนียงของป้าแก้วมาใส่ที่คอของป้าคำ พอรุ่งเช้ามา ป้าคำก็คลำดูที่คอของตนแล้วแทบจะเป็นลม เพราะว่าจากคอที่ใหญ่อยู่แล้วกลับใหญ่ขึ้นเป็นสองเท่า แล้วก็เดินร้องห่มร้องไห้กลับบ้านและกลับไปเล่าให้ป้าแก้วฟัง และก็ทนทุกข์กับคอเหนียงต่อไป

ผีกองหลัว

นิทานเรื่องผี
มีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่า ในอดีตนั้น บริเวณหมู่บ้านต่างๆ จะเป็นป่าละเมาะ ถ้าเข้าไปในป่าลึกๆ จะเป็นป่าทึบ คนสมัยก่อนเขาก็หากินกันตามป่า ไปเก็บผักเก็บไม้ หักเอาหลัว หรือฟืนมาก่อไฟ ยามถึงฤดูที่เห็ดงอกออกมาก็ไปหาเห็ดกันตามป่าตามดอย คนสมัยก่อนเขาเชื่อว่าที่ป่าจะมีผีมีสางเทวดารักษาป่าอยู่ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ชาวบ้านก็พากันไปหาเห็ดในป่า เมื่อไปถึงป่า ชาวบ้านก็แปลกใจที่เห็นกองหลัวอยู่กลางป่า แต่ต้นไม้ที่อยู่ข้างๆ กองหลัวและก็ห่างออกไปก็ไม่มีรอยฟันรอยตัดเลย ชาวบ้านก็ตกลงกันว่า คงจะไม่ใช่ของใครจึงเผากองหลัวนั้นเสีย แล้วก็พากันกลับบ้าน ไม่กี่วันหลังจากนั้นชาวบ้านก็พากันไปเก็บเห็ดอีก ก็ไปเจอกองหลัวอีก ชาวบ้านต่างก็พากันแปลกใจยิ่งกว่าเดิม เพราะข้างๆ กองหลัวที่เผาไปแล้วนั้นมีกองหลัวมาใหม่อีก กองใหญ่กว่าเดิม ชาวบ้านก็ช่วยกันหาว่า กองหลัวนี้มันมาอยู่นี่ได้อย่างไร แล้วก็ฟืนเหล่านี้เอามาจากที่ไหน ชาวบ้านก็เดินหาเห็ดไป ไกลออกไปเรื่อยๆ ก็ไปพบต้นไม้ถูกหักเป็นบริเวณกว้าง ซึ่งต้นไม้ถูกหักนี่ก็อยู่ห่างจากกองหลัวมากเกินกว่าจะนับได้ว่าห่างไปกี่กิโลเมตร ชาวบ้านก็เลยกลับบ้าน เอาเรื่องมาเล่าให้คนเฒ่าคนแก่ที่บ้านฟัง คนเฒ่าคนแก่ก็พากันไปดู คนเฒ่าคนแก่ก็บอกว่า กองหลัวพวกนี้เป็นของผีป่า แล้วเมื่อใดกองหลัวมีมากๆ ผีมันก็จะช่วยกันเผาเสีย ถ้าเมื่อใดผีมันเผาหลัว ปีนั้นฝนก็จะไม่ตก ฝนแล้ง เมื่อเป็นอย่างนี้ชาวบ้านก็กลัวกันว่า เมื่อผีเผาหลัวฝนก็จะไม่ตกก็จะไม่ได้ทำไร่ทำนา ก็พากันปรึกษากันแล้วก็นิมนต์พระสงฆ์ไปทำพิธีเผากองหลัว โดยบอกผีป่าที่รักษากองหลัวว่า ให้เอ็นดูชาวบ้านบ้างถ้าฝนไม่ตกก็จะไม่มีข้าวกิน พระสงฆ์ก็เผากองหลัวนั้นเสีย ตั้งแต่นั้นมาฝนก็ตกเป็นปกติ ชาวบ้านก็ได้ทำไร่ทำนากัน

ผีดอยด้วน

นิทานเรื่องผี
ดอยด้วนเป็นดอยเก่าแก่อยู่ที่เมืองเชียงแสนมีเจ้าพญาคนหนึ่ง อยู่เมืองเชียงแสนและมีลูกสองคน พอกระจายอำนาจแล้วก็สละราชสมบัติ แล้วพาบริวารมาเพื่อหาสร้างเมืองใหม่ ก็มาได้เจ็ดวันเจ็ดคืน ก็ยั้งทัพที่บ้านตีนบ้าน กว๊านพะเยา ก็ปรึกษากันว่า “เราจะเสาะที่เพื่อสร้างเมืองใหม่” ก็เลยพากันขึ้นไปทางเหนือ ก็พากันถางป่าก็เห็นผังเมืองเก่าเป็นรูปบ่าน้ำเต้า (น้ำเต้า) สมัยก่อนเมืองนี้มียักษ์เฝ้าอยู่ มีชื่อว่าดอยด้วน อยู่มาวันหนึ่งก็มีแม่ญิงคนหนึ่งชื่อว่าอีดำก็ไปขุดหน่อนางหางไม้ทุกวันที่ดอยด้วน วันหนึ่งก็หลงไปในป่า ก็เห็นมีทุกอย่าง บ่าหนัด(สัปปะรด) บ่าหนุน(ขนุน)ของครัวปลูก จะกินสักเท่าฮือ(เท่าไหร่) ก็ขนบ่าหนัดกลับบ้านไปแจกพี่แจกน้อง วันพูกกลับไปอีก จะไปเอาบ่าหนัดอีกหาที่ไหนปอบ่พบ ก็เลยหลงป่า พอดีมีผีมาพบเข้าก็เอาไปเป็นเมีย ก็ได้สี่ปี พ่ออีดำตายคนก็ไปเอิ้น(ตะโกน)บอกว่า “พ่อตายเน้อ” พอถึงเมื่อคืนชาวบ้านก็เห็นอีดำนั่งอยู่บนบ้าน ชาวบ้านก็พากันถามว่า “พ่อมึงตายเอาหยัง(อะไร)มาฮอมกะ” “ก็บ่มีหยัง เอาหมูมาตัว” ชาวบ้านก็พากันไปดูที่สุ่ม ก็เห็นเป็นวัวกระทิง พอเอาวัวมัดวัวก็ดินตายตรงนั้น ก็เลยเอาจิ้น(เนื้อ)มากินวันที่ปลงศพพ่อ(เผาศพ) พอเสร็จอีดำก็จะกลับบ้าน พอดีผีที่บ้านก็ป่วยเป็นตาเจ็บตาไม่ดี ยาก็ไม่หาย ก็เลยบอกให้อี่ดำ “ดำ ถ้ามึงไปเอาหมอเมืองมนุษย์มายาหายมึงก็จะได้กลับบ้านแล้ว กูจะหื้อข้าวหื้อของมึงกลับบ้าน“ อี่ดำก็ไปหาหมอเมือง เป็นพ่อเลี้ยงเก่าก็เอาไปรักษา เป็นอาการตาฟาง พ่อ เลี้ยงก็เอายาเมืองใส่พอกินได้เจ็ดวันก็หายดี ปู่ผีก็ชอบใจ ก็จะส่งพ่อเลี้ยงกลับบ้านก็ไม่รู้จะเอาอะไรให้ ก็เลยเอาบ่าเกลี้ยง บ่านาว(มะนาว) ขุดหัวขิงหัวข่าให้ หาบจนเดินไม่ไหว ผีก็บอกว่าเราจะไปส่ง ผีก็บอกว่า “เอ้า หลับตา” ก็มียักษ์เย็นประมาณ ๒๐ ตามไป ก็พากันหาบของไปตกเรี่ยราดบ้าง เอาขว้างบ้าง พอถึงบ้านก็เอาหาบลง ลูกก็ว่า “พ่อได้อะไรมาบ้าง” “โอ้ บ่ได้อะไร ได้แต่บ่าเกลี้ยง” ก็เลยเปิดดู ส้มบ่าเกลี้ยงก็เลยกลายเป็นคำหมด และสมัยก่อนถ้าวันดีคืนดีจะได้ยินเสียงฆ้องเสียงกลองด้วยที่ดอยด้วน

ผีตามอย ๑

นิทานเรื่องผี
มีชายคนหนึ่งไปหาปลาที่แม่น้ำ มันได้เอาไซไปดักปลาแล้วก็ไปดักที่อื่นอีก ชายคนนี้เมื่อไปดักที่อื่นจนคนจำนวนแล้วก็เดินกลับบ้านเพื่อรอเวลาที่ไปดูปลาที่ดักไว้ เมื่อชายคนนี้กลับไปดูไซที่ตนเองนั้นดักเอาไว้เมื่อใดก็ไม่ได้ปลาซักที “มันเป็นใครที่มาลักเอาปลาในไซนี้ไป มาเมื่อไหร่ก็ไม่ได้ซักที ต้องมีคนที่มาเอาไปแน่ๆ อย่าให้รู้เชียวนะว่าเป็นใคร” ผ่านไปได้ซักสามสี่วันชายคนนี้ก็ไปดักไซอีกและรอซุ่มดูว่าใครมาลักปลา “มันเป็นใครที่จะมาลักปลาในไซ วางไซเมื่อไหร่ก็ไม่ได้ซักที” ทีนี้ก็ไปซุ่มดูรอคนที่ชอบมาขโมยปลา คราวนี้ก็เจอคนที่ลักปลาจริงๆ เป็นผู้หญิงคนหนึ่งมาเอาปลาในไซไปใส่ข้องใบใหญ่ “อ้อ กูจับได้แล้ว มันคนนี้นี่เองที่ลักปลาในไซกู” เมื่อชายคนนั้นลุกขึ้นตะโกนและกำลังเดินเข้าไปหาหญิงคนนั้นเพื่อที่จะจับเอาตัวหญิงคนนั้นก็วิ่งเข้ามาอุ้มชายหาปลาไว้แล้วก็รัดแน่นหอบไปเรื่อยๆ เอาบินไปเรื่อยๆ ชายหาปลาก็คิดในใจว่า “ขอให้ไปที่ต้นไม้ทีเถอะ ข้าจะเกาะต้นไม้ให้มั่น ให้มันหลุดมือ” พอไปถึงต้นไม้ชายหาปลาก็เกาะต้นไม้ แต่ว่าหญิงคนนั้นก็รัดแน่นทำให้ไม่หลุดไป ชายคนนี้ก็คิดว่า “ขออีกทีเถอะ ข้าจะคว้าต้นไม้ ข้าจะกอดเกาะให้แน่นเลยทีนี้” แต่พอผ่านต้นไม้ไปก็ไม่สามารถที่จะเกาะต้นไม้เอาไว้ได้ สุดท้ายชายหาปลานี้ก็กลายเป็นผัวของนางผีตามอยไป

ผีตามอย ๒

นิทานเรื่องผี
ชายคนหนึ่งนั้นมีอาชีพหาปลาโดยใช้ไซดักปลา ทุกวันนั้นก็จะไปดักไซและได้ปลามามากมายทุกวัน วันหนึ่งชายคนนี้ก็ไปดักไซเหมือนเคยแต่ว่าพอกลับมาดูไซนั้นปลาที่เคยได้กลับไม่มีซักตัว มันจึงคิดในใจว่าต้องมีใครที่มาลักเอาปลาในไซไปแน่นอน พออีกวันหนึ่งมันก็ไปดักไซเช่นเดิมแต่คราวนี้มันแอบซุ่มดูไซว่าจะมีใครที่จะมาลักเอาปลาในไซของมันบ้าง ซักพักก็มีหญิงคนหนึ่งเดินมาพร้อมกับข้องใบใหญ่มาเอาปลาในไซของชายคนนี้ไป เมื่อเห็นอย่างนั้นแล้ว ชายคนนี้ก็ออกมาจากที่ซ่อนเข้ามาหาหญิงคนนั้นแล้วบอกว่า “นี่เจ้าเป็นใคร กล้าดียังไงถึงมาลักเอาปลาของคนอื่นไปนะ” เมื่อหญิงคนนั้นหันมาก็เอ่ยขึ้น “เอ่อ ดี วันนี้กูจะเอาปลาและคนไปด้วย กูจะเอาไปทำผัวเสีย” จากนั้นมันก็เอาปลายัดลงข้องพร้อมกับคว้าตัวของชายคนนี้ไปด้วยพาบินไปที่บ้านของมันนั้น ชายคนนั้นจะลงก็ลงไม่ได้ คิดอย่างเดียวว่าขอให้มันนั้นบินผ่านยอดไม้แล้วจะคว้าเอายอดไม้ไว้เพื่อที่จะให้หลุดจากมือของนางผีตนนี้ ว่าผ่านยอดแล้วยอดเล่าก็ไม่สามารถที่จะคว้าติดได้ ถึงคว้าได้นางผีตนนี้ก็กอดไว้แน่นไม่ปล่อยให้หลุดไปได้ จนไปถึงที่อยู่ของนางผีตนนี้ เป็นถ้ำที่ไม่มีสัตว์สิ่งหิ่งห้อยอะไรอยู่เลย แล้วก็ขังชายคนนี้เอาไว้ในนั้นเพื่อเอาเป็นผัวของนางผีตามอย ทั้งสองอยู่ด้วยกันมานานจนว่ามีลูกด้วยกัน ลูกของชายคนนี้เป็นครึ่งผีครึ่งคนมีหน้าตาเมือนกับคนแต่ว่ามีกำลังวังชาเหมือนกับผีสางที่มีฤทธิ์ วันหนึ่งชายคนนี้คิดที่จะหนีไปจากนางผีตามอยแต่ว่านางปิดปากถ้ำด้วยหินก้อนใหญ่ มันก็พยายามที่เปิดปากถ้ำโดยขยับหินนั้นแต่ก็ไม่ สามารถที่จะเปิดออกได้ ลูกของชายคนนี้ก็ถามว่า “พ่อจะไปไหนนะ” “พ่อจะออกไปหาลูกไม้หัวมันมาทานนะ” “ดีๆ พ่อลูกก็อยากกินเหมือนกัน แม่ก็มาช้า เดี๋ยวลูกจะเปิดให้พ่อนะ” แล้วลูกของชายคนนี้ก็เปิดปากถ้ำให้ หลังจากนั้นชายคนนี้ก็ออกไปจากถ้ำแล้วก็วิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต เมื่อนางผีนั้นกลับมาที่ถ้ำก็ไม่เห็นผัวรักของมัน มันก็ถามลูกๆ ก็บอกว่าพ่อออกไปหาลูกไม้หัวมันกิน นางผีตามอยก็ออกตามผัวไป ฝ่ายชายคนนี้ก็วิ่งไปเมื่อเหลียวกลับมาก็เห็นนางผีบินมาไกลๆ ก็ยิ่งเพิ่มความ เร็วในการวิ่งมากขึ้น เมื่อวิ่งไปเรื่อยๆ เกิดสะดุดหัวปักร่องน้ำ และชายคนนี้ก็แกล้งตายคาที่นั่น เมื่อนางผีมาถึงมันก็นึกว่าผัวรักมันตายแล้วก็ได้แต่ร้องห่มร้องไห้หาผัวมัน “ผัวรักของข้า ข้าจะเลี้ยงดูลูกของเราให้ดีนะ ขอให้เจ้าไปสบายเถอะนะ อย่ากังวลเลยนะ ข้าจะเอาเงินทองให้นะเพื่อเอาไปใช้ในโลกหน้า ขอให้เราเกิดมาได้เป็นผัวเมียกันอีกนะ” แล้วนางผีตามอยก็เอาเงินทองมากองข้างตัวผัวของมันที่แกล้งตายนั้น หลัง จากสั่งเสียคร่ำครวญแล้วมันก็บินกลับไปอยู่ที่ถ้ำกับลูกมันตามเดิม ส่วนชายคนนั้นเมื่อรู้ว่านางผีไปแล้วมันก็หอบเอาเงินเอาทองนั้นกลับไปบ้านอยู่กับพ่อแม่ตามเดิม หลังจากนั้นมาชายคนนี้ไม่ไปหาปลาอีกเลย

ผีปกกะโหล้งจำแลง

นิทานเรื่องผี
กาลครั้งหนึ่ง มีบ้านหลังหนึ่งอยู่ริมป่า ชาวบ้านอยู่ที่นี่ก็ทำไร่ทำนา บ้างก็ไปหาของป่ามาขาย ยามทำไร่ทำนาชาวบ้านก็จะไปทำห้าง(เพิงพัก)อยู่ที่กลางนาคอยดูวัวควาย นาสวนที่ปลูกไว้ ห้างที่สร้างขึ้นตามกลางนานี่เขาจะไม่สร้างหลังใหญ่ จะสร้างให้พอที่จะอยู่คนเดียวได้เท่านั้น อยู่มาปีหนึ่งมีฝนตกมากนัก มีสองแม่ลูกออกมาทำนา ขณะที่กำลังไถนาอยู่ ผู้เป็นแม่ก็คิดว่าอยากที่จะไถนาให้เสร็จในวันนี้ แต่สุดท้ายก็ไม่เสร็จ ค่ำมืดลงเสียก่อน แม่ก็บอกให้ลูกสาวไปนอนเฝ้าห้างนา เพื่อที่จะมาไถนาแต่เช้า ลูกสาวก็นอนเฝ้าห้างอยู่หลายคืนก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่นางก็ไม่สบายใจ เพราะตนก็เป็นหญิง มาอยู่ห้างนาคนเดียว มีอยู่วันหนึ่ง นางได้ยินเสียงคนสีสะล้อ นางก็ดีใจคิดว่า คงจะมีชายหนุ่มไปแอ่วสาว แล้วเดินผ่านมาทางที่นางอยู่ นางได้ยินเสียงนั้นมาใกล้ ก็เห็นคนที่สีสะล้อนั้น ไม่ใช่หนุ่ม แต่กลับเป็นคนแก่มีผมยาวรุงรังดูน่ากลัว นางก็สะดุ้งตกใจ ตอนที่นางตกใจนางก็ได้ยินเสียงจากชายแก่คนนั้นถามว่า “โก้ง โก้ง สาวนอนกลางโต้งหลับแล้วกา” นางกลัวก็กลัว แต่ก็ตอบไปว่า “ยังบ่หลับเตื้อ” (ยังไม่หลับจ้ะ) ชายแก่คนนั้นก็ถามต่ออีกว่า “โก้งที่ติดคันสะล้อ เป็นโก้งอะหยัง” (กะลาที่ติดคันสะล้อ เป็นอะไร) นางก็ตอบว่า “โก้งเงิน โก้งคำจ๊ะปู่เฒ่า” คนแก่คนนั้นเมื่อได้ยินแม่ญิงสาวตอบตัวเองด้วยคำพูดที่ดีก็พอใจ แล้วก็เดินสีสะล้อเข้าป่าไป ส่วนหญิงสาวก็รีบเข้านอน พอถึงตอนเช้านางตื่นขึ้นมาก็เดินไปที่โอ่งน้ำนางก็ก้มลงจะล้างหน้านางก็สะดุ้ง เพราะในโอ่งมีแต่เงินคำเต็มไปหมด ไม่นานข่าวการได้เงินได้คำก็รู้กันทั่วทั้งหมู่บ้าน อย่างว่านะคนขี้โลภก็มี มันก็มีแม่หม้ายคนหนึ่งเกิดโลภอยากได้บ้าง ก็ให้ลูกสาวไปนอนห้างโต้ง เมื่อลูกสาวไปนอนห้างโต้งก็พบผีปกกะโหล้งเหมือนกัน คือ เป็นชายแก่คนหนึ่ง เมื่อชายแก่คนนั้นเดินมาถึงห้างนาก็ถามสาวที่นอนว่า “สาวนอนโต้งหลับแล้วกา“ แต่ลูกสาวแม่หม้ายคนนี้เป็นคนมีนิสัยไม่ค่อยดีเท่าใดนัก ก็ตอบอย่างเสียไม่ได้ด้วยน้ำเสียงรำคาญใจว่า “ยังบ่นอน” ผีก็ถามต่ออีกว่า “โก้งนี้เป็นโก้งอะหยัง” นางก็ตอบไปเรื่อย ๆ อย่างไม่เต็มใจ ผีก็ถามต่ออีกว่า “สายสะล้อนี้เป็นสายหยัง” นางก็ตอบว่า “เป็นเส้นเอ็น“ เมื่อนางตอบ ผีก็ถามคำถามนางอีกหลายคำถาม จนนางรำคาญแล้วก็ ขี้เกียจจะตอบก็ตอบไปสั้นๆ ห้วนๆ อย่างมีอารมณ์ แล้วชายแก่คนนั้นก็เดินจากไป พอรุ่งเช้า แม่หม้ายก็ไปดูลูกสาวที่นอนอยู่ในห้าง พอไปถึงก็เห็นว่าตามเนื้อตามตัวก็มีรอยเหมือนมีอะไรเฆี่ยนตี นางรีบถลาเข้าไปดูแต่ลูกสาวของนางได้ตายไปเสียแล้ว

ผีพราย

นิทานเรื่องผี
ผีพรายเป็นผีที่ชอบกินของดิบๆ มักจะชอบเข้าไปสิงอยู่ในร่างของคนที่ป่วย กลางวันผู้ป่วย ที่ถูกผีพรายสิงจะลุกไม่ได้ นอนซมตลอดวัน แต่พอกลางคืนจะมีชีวิต ชีวา เหมือนไม่ได้เป็นอะไร เรื่องนี้เกิดขึ้นที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งใกล้ๆ บ้านของผู้เล่า มีชายคนหนึ่งชื่อว่าพ่อหนานนวล แกป่วยมาประมาณ 15 วัน อาการไม่ดีขึ้นเลยจนลุกไปไหนไม่ได้และมักชอบกินแต่ของดิบ เช่นลาบ หลู้ ทำให้ญาติพี่น้องต้องลำบากใจอย่างยิ่ง ตอนกลางวันแกจะนอนซมตลอดไม่พูดอะไรเลย พอตอนกลางคืน พ่อหนานนวลมักจะทำอาการแลบลิ้นปลิ้นตาหลอกญาติ พวกที่มาเฝ้าไข้เสมอ พอตอนดึกญาติพากันหลับแกจะลุกขึ้นมาเดินตามบ้าน บางครั้งก็ลงไปทางเล้าไก่เพื่อจะจับไก่กิน ถ้ามีคนใดคนหนึ่งเรียก แกจะล้มตัวลงนอนทันทีเดินต่อไปก็ไม่ได้ ญาติต้องหามไปนอนที่เดิม เป็นอยู่เช่นนั้นหลายสิบวันญาติต้องไปหาหมอทางไสยศาสตร์มาทำพิธิไล่ผี (เรียกว่าตัดพราย) หมอที่มาทำต้องเก่งจริงพอทำพิธีตัดพรายเสร็จ ผีพรายก็จะออกจากร่างของคนป่วย คนป่วยก็จะตายทันที ทั้งนี้เพราะวิญญาณของคนป่วยนั้นได้ออกจากร่างคนป่วยไปนานแล้ว แต่ที่อยู่ได้นั้นเพราะวิญญาณของผีพรายนั่นเอง

ผีม้าบ้อง

นิทานเรื่องผี
ในสมัยก่อนถ้าใครได้ยินเสียงม้าวิ่งในเวลากลางคืนจะต้องเข้าใจว่าเป็นเสียงของผีม้าบ้อง มีเรื่องเล่าว่า ผีม้าบ้องนี้เกิดจากม้าตัวหนึ่งที่ตายไปแล้ว แต่ยังอาลัยหาคู่ของมันอยู่ พอถึงเวลากลางคืนม้าตัวนี้จะออกวิ่งไปตามที่ต่างๆ เพื่อตามหาคู่ของมัน ม้าตัวนี้ก่อนที่จะตายนั้นตอนเล็กๆ เจ้าของได้เลี้ยงม้าไว้คู่หนึ่ง เวลาใดที่เจ้าของจะเดินทางก็จะต้องเอาม้าคู่นี้ไปด้วย แต่อยู่มาวันหนึ่ง ม้าตัวหนึ่งเกิดล้มเจ็บไม่สามารถที่จะออกเดินทางไปกับเจ้าของได้ เจ้าของก็เลยทิ้งม้าตัวนี้ไว้และนำอีกตัวหนึ่งไป ส่วนม้าตัวที่ล้มเจ็บนั้นก็นอนรอเพื่อนของมัน แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าเพื่อนของมันจะกลับมาหามันอีก ในที่สุดมันก็ทนความเจ็บปวด ไม่ได้ ก็ตายไป เมื่อตายไปแล้ววิญญาณของม้าก็ยังอาลัยคู่ของมัน ดังนั้น พอถึงเวลากลางคืนม้าตัวนี้จะออกวิ่งเที่ยวหาคู่ของมัน จนกระทั่งบัดนี้ มันก็วิ่งตามหาคู่ของมันอยู่

ผีหักขา

นิทานเรื่องผี
กาลครั้งหนึ่ง มีบ้านร้างหลังหนึ่งอยู่กลางหมู่บ้าน ใครไปใครมาก็ต้องเดินผ่านบ้านร้างหลังนั้น เวลากลางคืนหนุ่มๆ จะไปแอ่วสาวก็ต้องผ่านบ้านร้างหลังนี้ วันหนึ่งมีหนุ่มคนหนึ่งจะไปแอ่วสาว เวลาเดินผ่านบ้านร้างหลังนั้นครั้งใดก็จะได้ยินเสียงเหมือนคนทำอะไรอยู่เสมอ วันนั้น หนุ่มคนนั้นก็ตัดสินใจขึ้นไปบนบ้านร้างหลังนั้น พอขึ้นไปถึงบนบ้านก็เห็นผีหลายตัวกำลังโยนถุงเงินถุงทองเล่นอยู่ในบ้าน ก็เลยพูดกับตัวเองว่า “พวกนั้นมันไม่ใช่คน มันเป็นผีนี่นา มันโยนถุงเงินถุงทองเล่นอยู่นั่นนี่” พอผู้ชายคนนั้นเดินเข้าไปในบ้าน ผีพวกนั้นก็ได้กลิ่นคนก็เลยพูดขึ้นมาว่า “เหม็นกลิ่นคนดิบที่ไหนนะ เหม็นกลิ่นคนที่ไหนกัน มานับดูซิว่าพวกเรามีเท่า ไหร่” ผู้ชายคนนั้นหัวไวก็เลยรีบนับก่อน “น่อง สึง สี่ ห้า เห็ด จก เป่า แก๊ด” ผีพวกนั้นก็ไม่สงสัย ก็เลยเล่นโยนถุงเงินถุงทองกันไปมา พอโยนมาถึงผู้ชาย คนนั้น มันก็รับไว้เสีย พวกผีโยนมาทีไร มันก็รับเอาๆ จนได้ถุงเงินไปหลายถุงมันก็ค่อยๆ หลบลงจากบ้านร้างหลังนั้นกลับมาบ้านเสีย พอเพื่อนผู้ชายคนนั้นมาเที่ยวบ้านก็เห็นเงินทองมาก มายก็เลยถามว่า “โอ้ แกไปเอาเงินเอาทองที่ไหนมากันเนี่ย” ผู้ชายคนนั้นก็เลยตอบเพื่อนไปว่า “ก็บ้านร้างกลางหมู่บ้านนั่นแหละ ผีมันเอามาโยนเล่นกัน พอมันโยนมาหาข้า ข้าก็รับเอาๆ น่ะสิ” “เหรอ งั้นพรุ่งนี้ข้าจะไปมั่งดีกว่า” เพื่อนของผู้ชายคนนั้นก็เลยคิดจะเลียนแบบ ตกค่ำมาก็แอบไปดูที่บ้านร้างหลังนั้น ก็ได้ยินเสียงผีโยนถุงเงินเล่นกันอยู่จริงๆ ก็เลยขึ้นไปบนบ้านร้างผีเหล่านั้นได้กลิ่นคนก็เลย ถามกันว่า “เหม็นกลิ่นคนดิบที่ไหนกัน ไหนลองนับพวกเราดูซิ” ผีตัวหนึ่งมันก็เลยนับก่อน ก็เลยรู้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นคนก็เลยหักขาแล้วโยนทิ้งไว้ที่มุมบ้านกระดุกกระดิกไม่ได้จนเช้า ทางพ่อแม่ของผู้ชายก็เที่ยวตามหา ไปถามผู้ชายคนแรก ผู้ชาย คนนั้นก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นก็เลยบอกพ่อแม่ของเพื่อนไปว่า “สงสัยจะอยู่ที่บ้านร้างหลังนั้นมั้ง ไปหาดูสิ” ทุกคนก็เลยไปเยี่ยมๆ มองๆ ดูที่บ้านร้างหลังนั้นก็เจอลูกชายนอนแข็งทื่ออยู่ที่มุมบ้านร้างหลังนั้นจริงๆ ก็เลยหามกลับไปบ้านแล้วก็ปรึกษากันว่าจะทำยังไงกันดี ผู้ชายคนแรกก็เลยบอกว่า “ไม่เป็นไร เดี๋ยวคืนนี้ผมจะไปหายามาทาให้ คงจะหายได้อยู่” พอตกค่ำมา ผู้ชายคนแรกนั้นก็ไปที่บ้านร้างอีกครั้ง ก็ไปเจอผีกำลังร้องซอโต้กันไปโต้กันมาผู้ชายคนนี้ก็ขึ้นไปบนบ้าน ผีได้กลิ่นสาบก็ถามกันอีก “เหม็นกลิ่นคนดิบที่ไหนกันนะ ไหนนับพวกเราดูซิ” ผู้ชายคนนั้นก็รีบนับก่อน พอผีกลุ่มนั้นเริ่มซอ มันก็ซอถามไปก่อนว่า “คนขาหักเอายาหยังมาใส่ คนขาหักเอายาหยังมาใส่” ผีก็ซอตอบมาว่า “เอาขาบไม้ไผ่กับวุนไม้บง ตำเป็นผง เอาตองเข้าก้อบ“ ผู้ชายคนนั้นก็จำไว้แล้วไปหาของอย่างที่ผีซอบอกแล้วเอาไปทาให้เพื่อนก็เลยหายดีเหมือนเดิม

ผีโพง

นิทานเรื่องผี
เรื่องผีโพง มีคนเล่าต่อกันมาว่า ถ้าถึงหน้าฝน ฝนจะตกนัก น้ำจะนอง(น้ำหลาก)เต็มทุ่งเต็มนา เมื่อน้ำนองก็มีกบมีเขียดออกมาอยู่ตามที่มีน้ำ เขาว่าถ้าอยากเห็นผีโพง พอถึงเวลากลางคืน ตอนดึกๆ ลองออกมาดูอยู่แถวนอกชานบ้าน ส่องไปตามที่กลางทุ่ง ก็จะหันแสงไฟริบหรี่ๆ แดงๆ อยู่กลางทุ่งนั้น นั้นแหละที่เขาเรียกว่าผีโพง มันออกหากินกบกินเขียด ผีโพงนี่มันกลัวคน ไม่สู้หน้าคน เมื่อเราส่องดูมัน เราไม่เห็นว่ามันเป็นคนหรือว่ามันเป็นอะไร จะเห็นแต่แสงไฟ ถ้าดูไม่ดีจะเห็นแต่แสงเขียวเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวดับ คนเมื่อก่อนเขาว่าผีโพงก็คือคนเราธรรมดานี่แหละ แต่เขานั้นมีกรรมทำให้ต้องเป็นผีโพง เวลาที่มันออกไปหากินมันก็ไม่รู้ตัว เขาว่าผีจะเข้าสิงมัน มันชอบกินของที่คาวๆ เมื่อมันจะกินกบกินเขียดมันก็จะจับขึ้นมาแล้วก็ดูดกินเลือดแล้วก็ละซากมันไว้ คนที่เป็นผีโพงเวลาที่มันจะออกหากินมันจะเอาไม้วางแทนตัวมัน ผีโพงที่เป็นผู้ชายเมื่อมันออกบ้านเมีย มันก็จะไม่รู้ หากถึงตอนเช้าก็จะมีกบมีเขียดตายอยู่ตามประตูบ้านเรือน เสื้อก็จะเป็นแต่ดินโคลน เขาว่าถ้าเราอยากรู้ว่าใครเป็นผีโพง ให้ทำดังนี้ ให้เอาไม้คานแม่ม่ายที่ผัวตายมาชี้ที่ตัวผีที่เราเห็น แล้วก็ให้หักไม้คานที่ชี้นั้นเผาไฟเสีย พอตอนเช้าก็จะมีคนมายืมไม้คาน คนที่มายืมก็คือผีโพง ถ้าเราให้ไม้คานมัน มันก็จะเอาไม้คานนั้นพุ่งข้ามหลังคาบ้าน จะทำให้เจ้าของบ้านเป็นไม่สบายได้ ถ้าไม่ทำอย่างนี้ก็ให้ดูหน้าดูตา คนที่เป็นผีโพงผิวมันจะเหลืองซีด จมูกมันจะแดงขนาดหนัก ไม่เหมือนคนธรรมดา ขนตาสั้น ผีโพงนี้สืบต่อกันไปจนถึงลูกถึงหลาน เขาว่าถ้าเห็นผีโพงห้ามส่งเสียงดัง ไม่ อย่างนั้นมันจะเอาก้านกล้วยขว้างข้ามหลังคาบ้านเรา เราก็จะไม่สบายป่วยไข้ได้

เสือเย็น 2

นิทานเรื่องผี
มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเสือเย็น หรือเสือสมิงที่เล่าสืบต่อกันมาหลายเรื่อง เรื่องหนึ่ง นั้น มีคนเล่าว่าในอดีตกาลนานมาแล้ว มีวัดหนึ่งชาวบ้านเล่าลือกันว่าเจ้าอาวาสวัดนั้นเป็นเสือเย็น เสือเย็นก็คือคนที่เรียนคาถา ท่องคาถามานานจนแปลงกายเป็นเสือก็ได้ มีอยู่ครั้งหนึ่ง มีกลุ่มพ่อค้าวัวต่างรอนแรมมาจากต่างบ้านต่างเมืองมา ๒-๓ คนด้วยกัน ก็จะมาพักที่วัดนี้ ชาวบ้านที่เล่าลือกันว่าเจ้าอาวาสวัดนี้เป็นเสือเย็นชอบจับเอาพระเณร ในวัดไปกินจนไม่เหลือใคร พอชาวบ้านรู้ว่ามีพ่อค้าวัวต่างจะมาพักที่วัดนี้ก็เป็นห่วง จึงไปเล่าให้พ่อค้าเหล่านั้นฟังว่า "โอ้ พ่อลุง อย่าไปพักที่วัดนั้นเลยนะ วัดนั้นน่ะเจ้าอาวาสมันเป็นเสือเย็นนะ" พ่อค้าก็ว่า "จริงเหรอ" ชาวบ้านก็บอกด้วยความเป็นห่วง "จริงๆ นะพ่อลุง ถ้าไปพักที่วัดนั้นจะไม่รอดนะ มันจะเอาไปเสียหมดนะพ่อลุง" แต่พ่อค้าก็ว่า "ไม่เป็นไรหรอก พวกเราไม่กลัวหรอก" เหตุที่พ่อค้าเหล่านั้นไม่กลัวก็เพราะพวกเขาก็มีคาถาอาคมมากมายเหมือนกัน จึงไม่กลัวอะไรเลย พ่อค้าเหล่านั้นจึงไปพักที่วัดนั้น ในอดีตนั้น ทั้งกุฏิวิหารก็เก่าแก่รกร้าง ไม่ได้เป็นอาคารมั่นคงเหมือนในปัจจุบันนี้ ฝ่ายเจ้าอาวาสแก่เห็นพ่อค้ามากันหลายคนก็นึกดีใจว่า วันนี้ล่ะกูจะได้กินอิ่มก็วันนี้แล้ว ฝ่ายพ่อค้านั้น พอตกค่ำ ก็นั่งถักวัวธนู เอาตอกมาสานเป็นวัวธนู ประตูมีกี่บานก็สานวัวธนูเท่านั้น ฝ่ายเจ้าอาวาสก็ตะโกนถามลงมาด้วยเสียงแหบแห้งว่า "พ่อออก (ศรัทธา) หลับแล้วเหรอ" พ่อค้าก็ตอบไปว่า "ยังไม่หลับครับ ตุ๊ลุง" แล้วก็ช่วยกันสานวัวธนูต่อไป ไม่นานเจ้าอาวาสก็ถามลงมาอีกว่า "พ่อออก หลับแล้วหรือยัง" พ่อค้าก็ตอบไปอีกว่า "ยังไ่ม่หลับครับ" พวกพ่อค้าก็สานวัวธนูแล้วก็เสกคาถาใส่แล้วเอาไปวางที่ประตูแต่ละบานๆ เจ้า อาวาสก็ถามลงมาอีกเป็นครั้งที่สาม พ่อค้าก็ตอบไปเหมือนเดิมว่ายังไม่หลับ จนอีกสักพัก เจ้าอาวาสนั้นก็ถามลงมาอีก คราวนี้พวกพ่อค้าแกล้งเงีียบ เจ้าอาวาสนั้นจะถามลงมาอีกกี่ครั้งก็ไม่ตอบ เจ้าอาวาสก็คิดว่าคงจะหลับแล้ว จึงลุกขึ้นนั่งท่องคาถาแล้วแปลงกายเป็นเสือโคร่งตัวใหญ่ กระโดดลงจากกุฏิแล้ววิ่งเข้าไปในวิหาร พอกระโจนเข้าไปในวิหาร วัวธนูที่พ่อค้าสานไว้ ก็ขยายร่างใหญ่โตแล้ววิ่งเข้าวิ่งเสือเย็นจนล้มลง เสือเย็นหรือเจ้าอาวาสที่แปลงกายมานั้นก็ตายคาประตูวิหาร แล้วก็กลายร่างกลับคืนเป็นเจ้าอาวาส ฝ่ายชาวบ้านพอมาเห็นศพเจ้าอาวาสตอนเช้าก็รู้ว่าเจ้าอาวาสเป็นเสือเย็นอย่างที่ลือกันจริงๆ จึงเรียกวัดนั้นว่าวัดเสือเย็นตั้งแต่นั้นสืบไป

เสือเย็น ๑

นิทานเรื่องผี
เมื่อก่อนนั้นวิถีชีวิตยังคงอยู่กับธรรมชาติ เรื่องราวของผีสางมีอยู่มากมาย อย่างเช่นเรื่องของเสือเย็นนั้น เสือเย็นเป็นครึ่งคนครึ่งผีที่เที่ยวหากินเนื้อ หรือว่าคนในตอนกลางคืนดึกๆ มีเรื่องเล่าอยู่ว่า วันหนึ่งนั้น เสือเย็นตัวหนึ่งได้แปลงกายไปเที่ยวที่บ้านสาวคนหนึ่งกะจะหลอก สาวคนนี้มากินเป็นอาหาร มันก็ไปเที่ยวที่บ้านสาวนี้ตั้งแต่หัวค่ำจนดึกดื่น เสือเย็นตัวนี้มันนั่งอยู่ที่บนบ้านตรงช่องที่เจ้าของบ้านนั้นกวาดฝุ่นผงลงตรงช่องนั้น เพื่อที่มันจะได้เอาหางของมันนั้นลอดลงมาที่ช่องนั้นได้ พอตกดึกพี่ชายของสาวบ้านนี้กลับหลังจากที่ไปเที่ยวที่บ้านสาวอีกหมู่บ้านหนึ่ง เมื่อมาถึงที่บ้านตนนั้นก็เห็นชายหนุ่มนั้นนั่งบนเรือนตน แต่กลับมีหางลอดลงมาที่ใต้พื้นบ้าน มันก็รู้ทันทีว่าหนุ่มคนนี้เป็นเสือเย็นอยู่ที่บ้าน พี่ชายจึงวิ่งเข้าไปในบ้านบอกพ่อของตนเองได้รู้ ฝ่ายพ่อสาวเมื่อรู้อย่างนั้นแล้วก็นั่งอยู่ในห้องนอนตนนั้นสานวัวธนูด้วยตอกไม้ไผ่ แล้วก็เสกคาถาอาคมลงที่วัว หลังจากที่เสกคาถาแล้วพ่อสาวก็ปล่อยวัวธนูออกไปชนกับเจ้าเสือเย็นตัวนั้น เมื่อเสือเย็นเจออาคมอย่างนั้น มันก็พยายามที่จะสู้ลงไปสู้กันกับวัวธนูอาคมที่หน้าบ้านสาว จนเจ้าเสือเย็นหนีไปเพราะว่าไม่สามารถที่จะสู้วัวธนูได้ พอวันรุ่งขึ้นก็มีคนไปพบกับซากของเสือตัวหนึ่งนอนตายไส้ทะลักอยู่ในบ้านของชายหนุ่มอีกหมู่บ้านหนึ่ง ทุกคนก็ได้รู้ว่าชายคนนี้เป็นเสือเย็นและตายเพราะว่าถูกวัวธนูขวิดตาย เนื่องจะไปหลอกสาวอีกหมู่บ้านหนึ่งมากิน