จำนวน 8 เรื่อง

ครุฑกับนาค

นิทานสัตว์
ครุฑตัวนั้น มีวันหนึ่งก้า มันหลับได้สามปี หลับได้สามปีละบ่ตื่นเตื้อ แล้วก็มีพญานาค ก็หลับอย่างเดียวกัน พญานาคก็หลับได้สามปีละก็ฟื้นเหียเตื้อ แล้วก็ว่าตื่นวันนี้ก็ “บ๊า มันเป็นจะใด บ้านเมืองมนุษย์นี้มันจะซ้ำร้ายก่า” อย่างใดก็อยากใคร่หันเมืองมนุษย์ อยู่ในแม่น้ำก็โผล่ขึ้นมา พอโผล่ขึ้นมา ครุฑตัวนั้นอยู่ในป่านั้นหันมันออกมา วันนั้นก็ตื้นพุ่มเดี่ยวกัน ละก็มาอยู่ในป่าไม้ อยู่ในป่าบนเก๊าไม้ผ่อ พอหันนาคโผล่ขึ้นน้ำมา มันก็ว่าเป็นอาหาร ก็หล่อออกมาชักนาคขึ้นไป เอานาคขึ้นไป นาคก็มีความกลัวตายก็ห้อย คล้ายๆ อย่างรุ้งคาบงูนี้น่อ หางก็ไล่หวันไล่แกว่งไปผับกู้ที่กู้ทาง ทีนี้ก็เข้าในป่าไม้ไปมีหออาศรมบทของพระฤาษีอยู่ในป่า พระฤาษีอยู่หันมันมีต้นไม้โพสะไล คือต้นไม้สะหลีต้นนึ่งอยู่หั้นนา มันสูงเหลือต้นไม้อื่น แล้วนาคก็แกว่งหางละก็พันอยู่ ความกลัวตายก็เอาหางไปวัดได้กิ่งไม้สะหลี ก็ฮ้าวก่ากำนั้น ฮ้าวกิ่งไม้สะหลี แล้วครุฑเอาปก หลกขึ้นตึงรากตึงต้นหมดนะ เอาไปติดกันตึงงูตึงนาคตึงไม้สะหลี ไปแล้วเกาะอยู่ในป่า ก็ก้มกิน กินนาคลงไปแล้ว ได้สักเกิ่งแล้วก็นาคหมดฤทธิ์ นาคหมดฤทธิ์มันตาย ก็เลยหางสัวะต้นไม้สะหลีลงมา ลงมาตกใส่แผ่นดิน มีเสียงสนั่นไปทั่วอินทร์ทั่วพรหม ได้สามวัน ได้ยินเสียงมันสนั่นไป แล้วครุฑว่า “เอ๊ มันเป็นอะหยังมาสนั่นนิ กูอยากใคร่รู้” ก้มส่องลงมา โฮ้ เป็นว่าไม้สะหลีกินนาค พอเสี้ยงก็มาเป็นกำกึ๊ดว่า “เอ๊ ตัวกูนี้กับนาค แล้วไม้นี้เป็นไม้โพสะไลไม้แนบกับพระพุทธเจ้า ไม้ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ก็ได้แนบได้ทรมานบนต้นไม้นี้ แล้วอั้นใดจะเป็นบาปแก่กันกูจะลองจำแลงตนว่าเป็นคนมนุษย์” จำแหลงเป็นคนมนุษย์ ก็ปิ๊กเข้ามาถามพระฤาษี พระฤาษี โอ้ นาคนี้บ่มีกรรมบ่มีบาปอะหยัง เพราะความกลัวตาย บ่รู้จักเปิ้งอันใดละ เอาหางเลี้ยวไปแล้วไปจับเอาต้นไม้สะหลีนี้น่า แทนที่ว่าครุฑจะโดดไปตั้งสองสามเตื้อ มันบ่าได้หลก ก็น่าที่ก้มผ่อว่าไปถูกอะหยัง มันบ่าฟังเปิ้นละ ความกระหาย ความใคร่อยาก ได้ไปก็ไปกินมาบๆ ว่าที่กรรมมันจะมีกับครุฑ “จะเยียะอย่างใด จะหื้อส้ายกรรมหื้อเสี้ยง” “เออ ต้องบวชเป็นสามเณร” ประเพณีครุฑนั้นจะต้องมาเป็นพระ ก็มันจำแลงตัวได้ก็มาเป็นพระ ความจริงตัวท่านฤาษีก็หัน รู้แล้วว่าตัวครุฑนั้นนะ เป็นครุฑ มันจำแลงเป็นคนนา เปิ้นก็บอกหื้อ ได้บอกหื้อครุฑนั้นมาบวช ครุฑก็เลยเข้าป่า พอเข้าป่าก็ปิ๊กออกมา มาบอกเมินเจ้าก็อย่างว่า มันทรงข้าวดำข้าวแดงบ่าได้แตะ มันของมันเคยกินของคาวของหวานอี้เต๊อะ เลยกั้นกระหายก็เลยสิกขา ออกไป ไปเซาะกิน

คำผี้หลี้

นิทานสัตว์
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เมื่อครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีพระชมน์ชีพอยู่นั้น สัตว์ทุกตัวสามารถพูดภาษา คนได้ สัตว์หลายตัวได้เดินทางไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อขอให้พระพุทธเจ้าตั้งชื่อให้สัตว์แต่ละตัวต่างก็ได้ชื่อ ดีๆ ไพเราะ กลับไปทุกตัว สุนัขตัวหนึ่งเห็นเพื่อนๆ ต่างได้ชื่อที่ไพเราะอย่างนั้นก็เลยเดินทางไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าบ้าง มันได้ขอให้พระ พุทธเจ้าตั้งชื่อให้บ้าง พระพุทธเจ้าจึงตั้งชื่อสุนัขว่า "คำผี้หลี้" ซึ่งมีความหมายว่า งดงาม น่ารัก สุนัขตัวนั้นชอบชื่อของมันมาก ด้วยความเห่ออยากจะได้ยินคนอื่นเรียกชื่อตัวเองบ่อยๆ ก็เลยวิ่งกลับไปหาพระพุทธเจ้าอีกแล้วถามว่า "พระพุทธเจ้า ท่านตั้งชื่อให้ข้าว่ายังไงนะ ท่าน" พระพุทธเจ้าจึงบอกสุนัขไปว่า "ข้าให้ชื่อเจ้าว่าคำผี้หลี้" สุนัขหรือคำผี้หลี้ตามที่พระพุทธเจ้าได้ตั้งชื่อให้นั้นก็ดีใจ ลากลับไป พอกลับไปได้ไม่นาน ก็ดีใจอยากจะได้ยินชื่อของตนอีก ก็วิ่งกลับมาถามพระพุทธเจ้าอีกว่ามันชื่ออะไร พระพุทธเจ้าก็ตอบเหมือนเดิมว่า ตั้งชื่อให้มันว่า "คำผี้หลี้” คำผี้หลี้ได้ยินชื่อตนเองอีกครั้งก็ดีใจ จึงลากลับไป วิ่งไปได้ไม่นาน ก็อยากจะฟังชื่อของตนอีกด้วยความเห่อ ก็วิ่งกลับมาถามพระพุทธเจ้าเป็นครั้งที่ 3 ว่า "พระพุทธเจ้า ท่านให้ชื่อว่าอะไรนะ บอกข้าอีกครั้งเถอะ" พระพุทธเจ้าได้ยินคำผี้หลี้ถามซ้ำแล้วซ้ำอีกก็นึกรำคาญจึงตอบไปว่า "ข้าให้ชื่อเจ้าว่า หมา” คำผี้หลี้จึงได้ชื่อว่าหมาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ตุ๊กแกกินหาง

นิทานสัตว์
ในอดีตกาลนานมาแล้ว ยังมีป่าแห่งหนึ่ง ป่าไม้นั้นเป็นป่าที่ใหญ่เหมือนกับป่าหิมพานต์ ป่าไม้นั้นก็เต็มไปด้วยหมู่ไม้ต่างๆ ไม้ใหญ่ไม้น้อยต่ำพ่องสูงพ่องปะปนกันไป ยังมีไม้อยู่ไม้หนึ่ง ไม้ต้นนั้นเป็นไม้มะกอก ไม้ต้นนั้นเต็มไปด้วย มด ปลวกและแมลงต่างๆ เจาะเป็นโก๋นลึกลงไปเป็นที่อาศัยของแมลงหลายชนิดอยู่ในโก๋นนั้น ก็พอดีก๊กโตตัวนั้นธรรมดาต๊กโตเป็นสัตว์ขี้คร้าน มีก็อ้าปากหื้อแมงมดบินเข้าปากมันคนเดียว ขี้คร้านถึงขนาดนี้ผ่อลอ อยู่มาวันหนึ่งมันก็ไต่ไปตามต้นไม้ต่างๆ อย่างที่ว่าไปๆ มาๆ ไปปะใส่ต้นไม้ต้นเนียะ ต้นมะกอกเป็นโก๋นที่แมงมดเจาะเข้าไปก็ไต่เข้าไปหา มันก็รำพึงรำพันในใจมันว่า “ข้ามาเจอของดีแล้ว ต่อไปนี้ข้าตึงบ่อดตายข้าตึงสบายแล้ว” ทีนี้มันก็เมาก้าอาหารการกินของมันในโก๋นนั้น มันเยียะจาใดมันก็กินแมงมดต่างๆ ในโก๋นนั้น มดแมงต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในโก๋นนั้นก็ได้รับความเดือดร้อน ก็ได้มาปรึกษากันว่า “บ่าเดี๋ยวนี้หมู่เฮาจะเยียะอย่างใด เฮาได้รับความเดือดร้อนเฮาพากันอพยพหนีไปดีกว่า ขืนอยู่ไปนี้ตายแน่ๆ จะต้องถูกจับกินเป็นวันๆ” ทีนี้มดแมงต่างๆ ก็พากันหนีภัยที่ถูกรบกวนจากต๊กโตตัวนั้นก็เลยหนีออกจากโก๋นนั้น ส่วนต๊กโตตัวนั้นก็มันก็จัดการจับกินแมงที่อยู่ในโก๋นนั้น กินไปๆ จนแมงที่อยู่ในโก๋นนั้นจะเสี้ยง พอดีกับต้นมะกอกมันย่อมจะมีชู้เวลามันเป็นโก๋นออกไป ชู้มันก็ออกมาชู้มันก็ขยับกำหน้อยๆ จนเหลือรูหน้อยเดียว จนในที่สุดก็ปิดปากโก๋น ต๊กโตก็ออกบ่ได้ มดแมงต่างๆ ก็เกือบจะหมดละในหั้น ต๊กโตจับเป็นอาหารจนหมดเสี้ยง ทีนี้เมื่อจับสัตว์ต่างๆ กินเสี้ยงหมดแล้ว เอาละตอนนี้มันจะเยียะอย่างใด ขบกินหางตัวเก่า ต๊กโตตัวนั้นขบกินหางตัวเก่าเตื้อหน้อยๆ ลายที่หนึ่ง ลายที่สอง หางมันอย่างว่า น่าน้อต๊กโตหางมันลายเป็นเส้นๆ ลายที่หนึ่งลายที่สองกินเข้าๆ จนหมดหาง เมื่อมันหมดหางแล้วจะเยียะอย่างใด กินขาหลังแล่ ขาหลังหมดกินตัวกินใส้มันจนถึงขาหน้า เมื่อมันกินหางกินตัวกินขาหน้ามันแล้วเหลือก้าหัว เหลียวผ่อเหลียววอกเหลียวแวกบ่มีไผเลยกินหัวตัวเก่า จนในที่สุดต๊กโตตัวนั้นก็ตายเพราะว่าความโง่ความเกียจคร้านของมัน นิทานเรื่องนี้สอนหื้อรู้ว่าความเกียจคร้านทำการทำงานมัวนั่งๆ นอนๆ กินของเก่านึกลำพองว่าของมันบ่หมดบ่เสี้ยง ผลที่สุดมันก็ฉิบหายไป เสี้ยงไปเพราะความโง่ความเกียจคร้านเหมือนต๊กโตที่กินหางตัวเก่า

นกฮูกมีเรื่องกับแมว

นิทานสัตว์
มันเป็นอย่างอี้ นกเค้ากับแมวหน้ามันก็คล้ายๆ กัน มันเป็นอย่างอี้โล่ นกเค้าก็เลี้ยงลูกหน้อย แมวก็เลี้ยงลูกหน้อย แล้วก็มาอู้กัน “เอ สหาย สหายเป็นคนไป ละก็เฮาเป็นคนเตียวอี้มันช้า เอ๊าะ หื้อสหายไปเซาะของกิน เฮาจะเป็นคนเลี้ยงผ่อลูก” อี้โล่ ตกลงกัน ทีนี้นกเค้าก็บินไปเซาะอาหาร ทีนี้ก็ไปเมานกปู๊ บ่กึ๊ดฮอดหาลูกหาเต้า แล้วก็แมวเอาลูกนกกินเหีย มันเป็นอย่างอี้โล่ ลูกแมวจะตายนะ บ่ได้กินหยัง ท่านกเค้ามันก็บ่มาเผื่อปิ๊กมา มันเมาไปเล่นชู้อยู่ เปิ้นอู้หนา นกเค้ามันเมาไปเล่นชู้อยู่ ปิ๊กมาแล้วก็เอาแล่ “โห ลูกเฮามีไหน?” “โอ่ เอาหื้อลูกกูกินเหียหมดแล้ว ลูกกูจะตายโล่ มึงไปอยู่ที่ไหนล้ำเหลือ” “ปุดโทะ บ่ยอม จะเป็นความกัน” “เอ้า เป็นก็เป็น” แมวว่าอี้นา มันเอาความ บ่ใช่ความสะเล็กสะน้อยนา นกเค้านาผดแผวตะวันปุ๊น ตะวันเป็นใหญ่โล่ ไปแผวตะวัน “ท่าน บ่าเดี่ยวนี้แมวเอาลูกเฮาไปกิน เฮาจะมาปรึกษาท่าน เฮาควรจะเยียะอย่างใด” “หู้ เฮาก็บ่ใช่ เฮาเป็นใหญ่” ตะวันว่าหนา “บ่ใช่เฮาเป็นใหญ่ กันว่าฝ้ามาลับเฮาก็มืดทึกแล้ว” ก๊านฝ้า หื้อไปถามฝ้า แล้วทีนี้มันก็ไปถามฝ้า เรื่องนี้มันก็ปรึกษาความที่มันผิดนั่นนะ ฝ้าก็ว่า “เอ ข้าบ่เป็นใหญ่ กันว่าลมมาพัดข้าก็จำเป็นได้อันนี้” มันว่าอี้โล่ “ข้าก๊านลม” ซ้ำไปหาลมแถม ลมก็ซ้ำว่าบ่เป็นใหญ่ “ไผเป็นใหญ่” “จอมปลวก เฮาพัดมันตึงบ่โค่น” ซ้ำสดมาจอมปลวก จะมาปรึกษา ว่าปรึกษาผู้เป็นใหญ่ “เฮาก็บ่เป็นใหญ่โล่” “โห้ อะหยังเป็นใหญ่ละ” “ข้าก๊านควาย กันว่าควายมาขวิดข้าก็ตึงฟุ้งหมด” ใกล้มาๆ โล่ แถมกำมาถามควาย ควายก็ว่า “ข้าบ่เป็นใหญ่ ข้าก๊านเชือก กันเปิ้นเอาเชือกมามัด ข้าก็ไปบ่ได้ละ” ซ้ำไปหาเชือกแถม เชือกก็ว่า “เฮาบ่เป็นใหญ่โล่” “อะหยังเป็นใหญ่” “กันหนูมาขบเฮาก็ปุดละ” บ่ช่างไปถามไผละไปถามหนู หนูกับแมวก็ไอ่ตัวกินเปิ้นแท้ละ เลยถามบ่ได้ละ มันมาตึ๊ก เลยแมวเป็นใหญ่ ทีจริงเก๊าเต้าอี้ไปหวดแผวตะวันปุ๊นละ เตียวมาๆ จนว่าบ่าเดี่ยวบ่ช่างจะว่าใดละ จำเป็นเอามันเป็นใหญ่เป็นว่าอั้นแล่ ไปถามหนูว่าไผเป็นใหญ่ หนูว่า “โฮะ ข้าบ่เป็นใหญ่ ข้าก๊านแมว” เป็นว่าอี้น่อ ลวดมาสุดเหียหั้นแมวได้เป็นใหญ่ จะไปฟ้องเปิ้น บ่ขึ้นเต็กใบ้เต็กง่าวฟ้องบ่ขึ้น

อกฎหมายพระอินทร์

นิทานสัตว์
สมัยตะก่อนนา กฎหมายเป็นของพระอินทร์ พระญาอินทร์ปู้น เปิ้นสร้างกฎหมายไว้ว่าคนเฮาเนียะถ้านอนหลับไปแล้ว ฝันหันอย่างใดก็หื้อเอามาแก้หื้อคนนั้นฟัง สมมติว่าฝันหันไอ่แก้วเอาเงินหื้อสามร้อย ลุกมาเฮาก็ไปอู้หื้อมันฟังว่า “ตะคืนฮาฝันหันคิงเอาเงินหื้อฮาสามร้อย เอามาบ่าเดี่ยวนี้” ไอ่แก้วก็จำเป็นได้จกเงิน เซาะเงินมาหื้อสามร้อย ถ้าบ่หื้อบ่ได้ ตะก่อนนั้นเอากำฝันเป็นใหญ่ โห้ ทุกข์แท้เนอ ทีนี้ในสมัยตะก่อน สัตว์ ต้นไม้ มันปากหมดลู่ ภูเขาสิงหาราสัตว์ต่างๆ นานามันปาก อ้าเป็นคำคนทั้งนั้น ทีนี้ก็เกิดมีแม่เสือตัวหนึ่งนอนฝันหันว่าได้กินลูกช้างตัวหนึ่ง ลุกมาเมื่อเช้าก็ไปอู้หื้อแม่ช้างนั้นฟังว่า “เอ้า วันนี้จำเป็นละเน่อ อาหารจะต้องมาสู่ท้องข้าละ ข้านอนหลับตะคืนนี้ ฝันหันว่าได้กินลูกช้าง” โห แม่ช้างนั้นก็ไห้อ้อนวอน “ขอเต๊อะ ลูกข้ายังหน้อย ยังกินนมอยู่ ขอหื้อมันใหญ่แหมสักหน้อย” ละก็บ่ช่างยะใด บ่ใคร่หื้อกินเทื่อ “อะ บ่ได้ๆ ผัดเมื่อแลง เมื่อแลงบึดเน่อ ข้าจะมากินละ” ช้างนั้นก็ไห้ไป ไปปะใส่นกเค้าแมว ก็ถามว่า “โหะ แม่ช้างนี่ ไห้อะหยัง” “โหะเสือมันจะมากินลูกแม่ป้านา แม่ป้าก็อ้อนวอนบ่หื้อกิน จะยะจะใดนี่ มันเป็นกฎหมายของพระอินทร์ ถ้าบ่หื้อกินพระอินทร์ก็จะทำโทษเฮาเหมือนกัน มันตึงบ่พ้นตายเหมือนกัน” “โอ๋ บ่เป๋นหยัง ข้าจะเป็นทนายความหื้อ” นกเค้าแมวว่าจะเป็นทนายความหื้อ โอ๊ะ ช้างดีอกดีใจ “ไป พากันไปหาพระอินทร์” เอากันตึงลูกช้างแม่ช้าง ตึงเสือตวยกันไป นกเค้าแมวยองหัวช้างไป ไปถึงพระอินทร์ก็ถาม “โหะ พากันมายะใดนี่” เสือก็เล่าหื้อฟังว่า “ตะคืนข้าฝันหันว่าได้กินลูกช้างตัวนี้ ไปหาแม่ช้าง แม่ช้างก็บ่หื้อกิน” “โหะ ไปขัดขืนไปได้จะใด ฝันอย่างใดต้องเป็นอย่างนั้น บ่ได้ บ่ได้ เอาหื้อกินเหีย” พระอินทร์ตัดสินอย่างอี้ นกเค้าแมวอยู่บนหัวช้าง แต่งหลับ เหงาซกต้กไป ซากต้กมา คล้ายๆ ว่าหลับ “โหะ อันนั้นยะอย่างใดกันนั่น นอนหลับ เปิ้นอู้กันบ่ฟังกานั่น” แต่งยกปีกขึ้นสะดุ้ง “โฮ้ ขอสูมาพระอินทร์ ขออภัยเต๊อะ ข้านอนฟังก็ใคร่งีบหลับไปหน่อย ตอนข้าหลับไปนี้ ข้าฝันหันนา ฝันหันได้นอนกับแม่อุมาเนี่ยะ เมียของพระอินทร์เนียะ ข้าจะไปนอนตวยบ่าเดี่ยวนี้ละ” พระอินทร์โขดลู่ “โห้ มึงมาดูถูกกู บ่าได้ๆ นกเค้าตัวนี้ บ่าเอา บ่าเอา เลิกหมดกฎหมายนี้ เลิกๆ บ่หื้อแถมซ้ำ บ่หื้อไผฝัน เอ้าเลิก บ่าหื้อแล้ว สัตว์ทั้งหลายบ่หื้อได้ปากละ” สาปแช่งมา นกเค้าแมวนี่หนักเหลือเปิ้น บ่หื้อตาหันละ เมื่อวันนี่นา บ่หื้อหากินเมื่อวัน ตาบ่หัน หื้อกินก้าเมื่อคืน

อึ่งอ่างกับวัว

นิทานสัตว์
วัวกับอึ่งอ่างเป็นสัตว์ที่ต้องหากินคนเดียว ทีนี้มีอยู่วันหนึ่ง อึ่งอ่างมันก็ชวนลูกๆออกไปหากิน ทีนี้ก็มีละอ่อนเลี้ยงวัวนำวัวมาเลี้ยงเป็นฝูง อึ่งอ่างมันก็ซนอยู่ตามพื้นหญ้า ทีนี้วัวมันก็บ่หัน วัวก็กินหญ้าไปตามภาษาของมัน ก็มาเหยียบเอาลูกของอึ่งอ่าง จะตายแหล่บ่ตายแหล่ตึงสองตัวก่อนน่อ แม่อึ่งอ่างก็มีความแค้นขึ้นน่อ แม่อึ่งอ่างก็เหลียวผ่อตังซ้ายตังขวา อะหยังมาย่ำลูกกูนี่ ก็เหลือกตาจากป่าหญ้าขึ้นไป ก็ไปหันวัวตัวหนึ่ง ทีนี้ก็ว่า “โฮะมันมาย่ำลูกกูตายไปตึงสองตัวก่อน” ก็เลยเกิดความแค้นขึ้นไปในตัวอึ่งอ่างก็ขึ้นเสียงว่าหื้อวัว “มึงเนี่ยเป็นดีกาไอ่วัว มึงมาย่ำลูกกูนา ลูกกูตายไปสองตัวละ ถ้ากูย่ำลูกมึงๆจะรู้สึกจาใด“ วัวมันก็ว่า “บ่าได้ตั้งใจที่จะย่ำลูกอึ่งอ่าง เพราะมันอยู่ในกอหญ้า เพราะมันมาหากิน” วัวมันก็บอกว่าอั้น มันก็ขอโทษแม่อึ่งอ่าง แม่อึ่งอ่างก็ตึงบ่ายอม แม่อึ่งอ่างมันก็ว่า “ไอ่วัวนี้ กูจะเบ่งตัวเท่ามึง แล้วก็หื้อมึงมาต่อสู้กับกูว่าตังมึงนี้ตัวใหญ่มารังแกลูกกูอี้น่อ” ที่นี้อึ่งอ่างย้อนความโมโหด้วยความรักลูกมันก็เลยเบ่งตัวเพื่อจะหื้อเท่าตัวของวัว แต่มันจะเป็นไปได้กา สัตว์ตัวหน้อย ๆ ที่มีความทะเยอทะยานจะเบ่งตัวหื้อเท่าตัวของวัวมันก็ เป็นไปบ่ได้ตามความคิดของมันที่จะเบ่งตัวหื้อเท่าตัวของวัวที่ไหนได้มันก็ท้องแตกตายขำที่

อึ่งอ่างจอมเบ่ง

นิทานสัตว์
นานมาแล้วบ่าทราบว่านานเท่าใด คือปีที่น้ำท่วมพิภพหมด แต่ยังเหลือกะลาลอยอยู่ใบหนึ่ง ภายในกะลานั้น ยังมีหิ่งห้อยอยู่ตัวหนึ่ง อึ่งอ่างตัวหนึ่งกับจั๊กก่าแหมตัว สัตว์สามตัวนี้อยู่ในกะลาตวยกัน พอค่ำลงหิ่งห้อยที่เป็นสัตว์มีแสงอยู่ในตัวก็ขยับปีกที่มีแสงวาบๆ ขึ้น พร้อมกันนั้นก็อู้ขึ้นว่า “นี่เจ้าอึ่ง เจ้านี้ตัวใหญ่เหียบ่าดาย เจ้าจั๊กก่านี้ตัวยาวเหียบ่าดาย แสงไฟซักนิดก็บ่มีติดตัวเลย ค่ำวันนี้ถ้าบ่าได้แสงจากข้ามันก็จะมืดหมด รู้ก่อข้าเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดรู้ก่อภายในกะลานี้” อึ่งอ่างเมื่อถูกกิ่งห้อยสบประมาทและเบ่งทับอย่างอั้นก็โขด จึงอู้ขึ้นว่า “หิ่งห้อยนี้คิงจะไปมาเบ่งนัก ข้าชัง แล้วรำคาญ แกนะมีแสงก็จริงข้าบ่าเถียงแต่ในกะลานี้ ถ้าอู้กันถึงเรื่องใหญ่แล้วบ่มีไผใหญ่เท่าข้าๆ นี้ใหญ่ที่สุด” พร้อมกันนั้นอึ่งอ่างก็เบ่งตัวขึ้น กะลาก็โคลงเคลง จะคว่ำ ทันใดนั้นกิ้งก่าก็กลัวจะเสียเปรียบหิ่งห้อยเพราะหิ่งห้อยมีแสง กลัวเสียเปรียบอึ่งอ่างเพราะอึ่งอ่างตัวใหญ่ตัวเองก็จำเป็นต้องเบ่งเพื่อกู้สถานภาพของตัวบ้าง จึงกล่าวกับหิงห้อยกับอึ่งอ่างว่า “เฮ้ย เจ้านะมีแสงข้าบ่ว่าหยังเจ้า อึ่งอ่างใหญ่ ข้าก็บ่ว่าหยั่ง แต่เรื่องยาวเนี่ยข้ายาวได้อย่างเต็มปาก ข้ากล่าวได้เลยว่าข้ายาวกว่าท่าน ยาวที่สุดจนหางจดขอบกะลาข้างเนียะ หัวจดขอบกะลาข้างปู้น” พร้อมกันนั้นก็ขยับหัวไปข้างปู้นพ่องข้างเพ้พ่อง ขยับตัวมาทางนี้หิ่งห้อยก็ขยับแสง อึ่งอ่างก็เบ่งตัวใหญ่ ผลสุดท้ายกะลาทานน้ำหนักสัตว์สามตัวนี้บ่ไหวก็คว่ำจมหายลงไปในน้ำตายหมด

เสือกับกระต่าย

นิทานสัตว์
กระต่ายตัวนั้นมันไปปะใส่เสือหน้อย มันก็ขอนอนกับแม่เสือ เสือตัวหน้อยมันก็ผิดใจ แม่มันมามันก็บอกหื้อแม่มันว่า “ตะเจ๊ากระต่ายมา มันว่าจักมานอนตวยแม่“ แม่เสือตัวนั้นก็ผิดใจไปตวยหากระต่าย กระต่ายก็ไปปะใส่ขี้ควายปึ๋งหนึ่ง กระต่ายก็ไปหักเอาหนามมาปักไว้ไปเฝ้าอยู่หั้น เสือก็มาปะใส่กระต่ายเลยว่า “มึงนี้ไปว่าหื้อกูไปขอนอนตวยกู กูผิดใจกูจะกินมึง“กระต่ายก็ว่า “กูบ่หื้อกิน กูบ่หื้อกินเตื้อ กูบ่ไปไหนเตื้อ กูนั่งเฝ้าตั่งพ่ออุ๊ยกูอยู่นี่“ เสือก็ว่า “กูขอนั่งน่อย“ กระต่ายก็ว่า “กูบ่หื้อนั่งพ่ออุ๊ยกูจะด่า” “ถ้ามึง บ่หื้อกูนั่งกูจะกินมึงเหีย“ “กูบ่หื้อกินกูจะลองถามพ่ออุ๊ยกูผ่อก่อน กอนกูว่านั่นเต๊อะหื้อมึงนั่งลงแรงๆ เน่อ“ เสือก็เอาก้นแดกลงหนาม หนามปักก้นเสือ เสือก็ผิดใจแหมเมาะ กระต่ายก็วิ่งหนีไปเฝ้าฮางผึ้งฮางหนึ่ง เสือก็ไปปะใส่กระต่ายมันก็ว่า “มึงนี้จุกูหลายครั้ง“ กระต่ายก็ว่า “ กูบ่ได้ไปจุไผลอ กูเฝ้าก๊องพ่ออุ๊ยกูอยู่นี่ กูบ่ไปไหนซักเตื้อ“ เสือก็ว่า “กูขอตีน่อย” กระต่ายว่า “บ่หื้อตี พ่ออุ๊ยกูจะด่า“ เสือก็ขู่ว่า “กอนมึงบ่หื้อตีกูจะกินมึงเหีย“ กระต่ายเลยแกล้งว่า “ อั้นกูจะไปถามพ่ออุ๊ยกูก่อนกอนกูว่าตีเต๊อะ หื้อมึงเอากำปั้นแดกแรงๆเน่อ “ กระต่ายก็วิ่งไปแหมไปปะใส่งูแหม ก็ไปเฝ้าอยู่หั้น เสือก็ไปปะใส่ กระต่ายก็ว่า “กูบ่ไปไหนซักเตื้อ กูเฝ้าปี่พ่ออุ๊ยกูอยู่“ เสือก็ว่าๆ “กูจะเป่าปี่“ กระต่ายก็บ่หื้อเป่า “พ่ออุ๊ยกูจะด่า“ “กอนมึงบ่หื้อเป่ากูจะกินมึง“ “กูจะไปถามพ่ออุ๊ยกูก่อน ถ้ากูว่าเป่าเต๊อะ หื้อมึงเอาปากคาบเน้อ “ เสือมันอ้าปากงูฟู่พิษใส่ตามันแถมมันก็ผิดใจ กระต่ายก็วิ่งหนีเข้าไปในโก๋น พ้นมันไป ทีนี้มันก็ปิ๊กไปหาลูกมัน ลูกมันก็ถาม “เอ่อ ไปได้กินได้เกิ๋นหยัง“ เสือก็ออกไปเซาะหากระต่าย กระต่ายก็ไปตกน้ำบ่อ บ่อห่าง ออกบ่ได้ เสือก็ตวยไปๆ ปะใส่หยื้อผ่อ หันกระต่ายอยู่ในน้ำบ่อกระต่ายก็เหลียวขึ้นมาๆ ปะใส่เสือ ก็เอิ้นว่า “ ขะใจ๋ๆ ลงมาฟ้าจะลั่น“ เสือก็กลัวตายลงมากลัวฟ้าลั่น โดดลงไปหากระต่ายในน้ำบ่อกระต่ายบ่าร้ายบ่าดีก็เอาหญ้าจิก้นเปิ้น เสือก็ว่า “กำเดียวกูจะกำขาขว้างขึ้นไปหื้อฟ้าลั่นลงมาหนีบเหียเน้อ“ กระต่ายก็ย้างไป กำเดียวก็เอาจิเปิ้นแถม เสือก็ว่าจะกำขาขว้างขึ้นไปหื้อฟ้าลงมาหนีบ กำถ้วนสามเสืออดบ่ได้ก็เปี๋ยเอาขาได้ขว้างไปบนบก กระต่ายก็ฟ้อนแวดน้ำบ่อ ฮ้องบอกหื้อเสือว่า “กูจะไปบอกหื้อชาวบ้านก่อนเน้อ“ ชาวบ้านก็มาหยื้อผ่อ “โท้ เสือตายปอเหม็นฮะ“ ชาวบ้านก็ไปเอาเชือกมาคล้อง ลากขึ้นมาพ้นน้ำบ่อ เสือก็ดิ้นกระง้งกระง้าง กระต่ายก็วิ่งหนี เสือก็วิ่งหนี ชาวบ้านก็วิ่งหนีกลัวเสือก็เลยลวดแล้วกันไปเหีย