จำนวน 12 เรื่อง

กำเนิดของยุง

นิทานอธิบายเหตุ
เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่า ยังมีเศรษฐีคนหนึ่งตอนที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น ก็มีพฤติกรรมที่ชาวบ้านชาวเมืองทั้งหลายได้หื้อฉายาแก่เขาว่า เศรษฐีหน้าเลือด คนสูบเลือดมนุษย์ เพราะเหตุว่ามหาเศรษฐีผู้นี้เมื่อเป็นเจ้าหนี้ก็บ่หื้อความกรุณาปรานีต่อเพื่อนมนุษย์คนใด แสดงความใจร้ายต่าง ๆ นานาออกมา จนกระทั่งได้รับฉายาดังกล่าวครั้นถึงเวลาที่มหาเศรษฐีผู้นั้นถึงแก่ความตาย ก็กลายเป็นปีศาจอาละวาดดูดเลือดลูกหนี้ และทำร้ายลูกหนี้ไปทีละคน ๆ ด้วยการดูดเลือดที่พอเอาไปกินแล้วจนตายคาปากทุกราย ความโหดร้ายของปีศาจเศรษฐีนี้ก็เป็นที่รู้กันทั่วไป ครั้นลูกหนี้ตายบ่มีเหลือแม้แต่คนหนึ่ง จึงดูดเลือดชาวบ้านชาวเมืองกินต่อไปไม่เลือกหน้า ชาวบ้านชาวเมืองจึงพากันไปร้องทุกข์ต่อผู้เป็นใหญ่บนสวรรค์ ขอพระองค์ได้กำจัดปีศาจดูดเลือดคนนั้นหื้อสูญสิ้นไปผู้เป็นใหญ่แห่งสวรรค์จึงสาปทันที “นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นไป หื้อเจ้าปีศาจเศรษฐีจงกลายร่างเป็นค้างคาวผีต่อไปในพริบตา” เจ้าปีศาจก็กลายเป็นค้างคาวผีในพริบตาตามคำสาปของผู้เป็นใหญ่แห่งสวรรค์ มันเป็นปีศาจที่เราจะสามารถทำลายหื้อมันสูญสิ้นไปได้ แต่การที่หื้อมันกลายเป็นปีศาจตัวเล็กๆ เช่นนี้อันตรายย่อมหมดไป ผู้เป็นใหญ่แห่งสวรรค์อธิบายเช่นนั้น แต่เกิดเหตุการณ์ที่ตรงกันข้ามกับคำอธิบายคือค้างคาวผีได้แสดงความโหดร้าย เป็นอันตรายแก่คนทั่วไป ร้ายยิ่งกว่าตอนที่มันเป็นปีศาจตัวใหญ่ มันกลายเป็นค้างคาวผีเช่นนั้น มันก็ยิ่งสะดวกในการดูดเลือดคนกินได้ในขณะที่คนนอนหลับอยู่ในห้อง ห้องนอนมิดชิดอย่างนั้นค้างคาวผีก็เข้าไปในห้องได้ เมื่อคนทั้งหลายร้องทุกข์ต่อผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ ผู้เป็นใหญ่แห่งสวรรค์กล่าวว่า “ถ้าทำร้ายชีวิตมันได้ ถึงอย่างไรเราก็บ่รู้จะทำลายชีวิตมันได้อย่างใด แต่ข้าจะหื้อทำลายชีวิตมันได้ จะหื้อมันเป็นสัตว์ที่บ่สามารถทำลายชีวิตคนได้เมื่อมันดูดเลือดกิน “ “หมายความว่ามันจะต้องเป็นสัตว์ที่ดูดกินเลือดคนตลอดไปหรือไม่พระเจ้าค่ะ“ เมื่อถูกถามเช่นนี้พระผู้เป็นใหญ่แห่งสวรรค์ก็ตอบว่า “ใช่ ใช่แล้ว แต่บ่เป็นหยังมันบ่ทำหื้อคนตายโดยการดูดเลือดของมันก็แล้วกัน“ “ขอหื้อมันเป็นสัตว์เล็กๆ เถิดพระเจ้าค่ะ เป็นสัตว์เล็กที่สุดเท่าที่จะเล็กได้“ เมื่อคนทั้งหลายวิงวอนเช่นนั้น ผู้เป็นใหญ่แห่งสวรรค์ก็รับรองว่า “ข้าจะสาปหื้อมันเป็นตัวแมลงชนิดหนึ่งเท่านั้น ถ้ามันเป็นแมลงก็อย่าหื้อมันมีปีกแข็งตามที่พวกเจ้าต้องการ“ ผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ยืนยันกับชาวบ้านชาวเมืองจนพอใจ แต่ชายคนหนึ่งก็ถามว่า “ถ้ามันเป็นแมลง พวกข้าพเจ้าทั้งหลายจะทำลายชีวิตมํนได้หรือไม่“ “ทำลายได้ พวกเจ้าทำหื้อมันตายได้อย่างง่ายดาย แต่ในขณะเดียวกันมันก็จะมีการเกิดขึ้นนักทุกที ในบ้านในเมืองของเจ้ามันจะต้องมีไปตลอดกาล บ่มีวันสูญสิ้นไปจากโลกนี้“ แล้วผู้เป็นใหญ่แห่งสวรรค์ก็สาปค้างคาวผีหื้อเป็นแมลงชนิดหนึ่งซึ่งเราเรียกค้างคาวผีนี้ว่า….ยุง

จั๊กจั่นบ่มีไส้

นิทานอธิบายเหตุ
เมินมาแล้ว พวกนกทั้งหลายบ่ว่านกหน้อย นกใหญ่ฮ้องกันมาประชุมว่าเฮาทั้งหลายหมู่นกจะเลือกนกตัวใดตัวหนึ่งเป็นหัวหน้า เป็นใหญ่แก่นกทั้งหลาย แล้วจะพากันเชื่อฟังหัวหน้าคือนายหมู่ทุกตัว หมู่นกทั้งหลายก็ตกลงกันก็เลือกได้นกเค้าแมวเป็นหัวหน้า อยู่มาได้หลายปีหลายเดือน นายหมู่ก็ทำอุบายออกแถลงการณ์ว่าจักมีการบวช ว่าจะเอานกตุ่งตุง ตัวสูงๆ หัวล้านมาบวช นายหมู่บอกหื้อนกทั้งหลายไปแอ่วบอกบุญการบวช นกหน้อยทั้งหลายได้รับแล้วก็เก็บสตางค์กันมาไฮ่มาฮอมกัน จะไปก็ไปบ่ได้ มันอยู่ป่า หิมพานต์ปุ๊น เลยฮอมกันไปเหีย ถึงเวลาเลยบ่ได้บวชสักกำเพราะนกทั้งหลายเชื่อนกเค้า นกเค้าเอาไปเรียบร้อยหมด เอาไปใส่กระเป๋าตัวเอง หมู่นกหน้อย จั๊กจั่น เขาฮู้อย่างอั้นนกเค้าก็ไปหากินเมื่อวันบ่ได้ เพราะนกทั้งหลายไปทวงหนี้สนั่น หากินเมื่อคืน จั๊กจั่นก็มา เย้ ๆ นกเค้าอยู่บ่ได้ มันอาย บินไปทางอื่น เดือดขึ้นว่า “บ่ากอกๆ “ บินไปบินมา ฟานป่าได้งินหวังว่าบ่ากอกหล่นตกดินก็พากันล่นมาผ่อบ่ากอกเลยเอาตีนไปย่ำใส่อี่ฮวก ๆ เลยตายไป หมู่นกทั้งหลายเลยประชุมกันว่าเป็นต้าไผ ผิดแต่คนใด นกบางตัวก็ว่าเป็นแต่จั๊กจั่น กำนั้นเอาไส้จั๊กจั่นออกมาหมด เอาไปใส่ท้องอี่ฮวกเหีย จั๊กจั่นทั้งหลายเลยบ่มีไส้เต๊าวันนี้แล่

ตำนานเลขศูนย์

นิทานอธิบายเหตุ
ตำนานเลขศูนย์นี้ สมัยก่อนเขาว่าเลขที่เราใช้ทุกวันนี้มี ๑๐ เลข เลข ๑ เลข ๒ เลข ๓ เลข ๔ เลข ๕ เลข ๖ เลข ๗ เลข ๘ เลข ๙ เลข สิบ หมายความว่าจะมีเลขสิบอยู่เลขหนึ่ง ไม่ใช่เลขหนึ่งกับเลขศูนย์ ต่อมาหมดสมัยนั้น เมื่อมีเลขสิบอยู่ หมอดูจะดูดวงแม่นเหมือนตาเห็น ใครไปไหนมาไหนถ้ามาถามหมอดูก็จะรู้หมด ใครกินข้าวอะไรก็รู้หมด ต่อมาวันหนึ่ง มียาจกเข็ญใจคนหนึ่งมาดูหมอ หมอดูก็ทายว่า “มึงนี้มันจะลำบากจนตาย พระยาอินทาก็ช่วยไม่ได้” ยาจกคนนั้นก็เลยอ่อนใจเพราะว่าหมอดูทายแม่น แต่เสียงที่หมอดูทำนายนี้ก็ส่งเสียงไปถึงสวรรค์ พระอินทร์ได้ยินเข้าก็เลยคิดว่า “ไอ้หมอดูนี่มันประมาทกู ในฐานะที่กูเป็นพระอินทร์ กูจะต้องช่วยยาจกคนนั้นให้ได้” แล้วพระอินทร์ก็ลงมา พยายามหาทางช่วยยาจกคนนั้น พอเห็นมันเดินมา พระอินทร์ก็เอาไหคำไปตั้งไว้ขวางทางยาจกคนนี้ แต่พอยาจกมันเดินไปใกล้จะถึงก็นึกอะไรไม่รู้ ไปหยิบไม้มาทำทีเป็นคนตาบอด แกว่งไม้ไปมาก็ไปแกว่งโดนไหทองคำ แต่ก็ไม่สนใจก็เดินผ่านไป พระอินทร์ก็ไม่ละความพยายาม ก็เอาไหทองคำไปหย่อนไว้จากต้นไม้ กะให้ตรงหน้าผากของยาจก กะว่าจะให้ยาจกไปเดินชนแล้วพอเหลียวดูก็จะเห็นทองคำ แต่พอเอาเข้าจริงๆ ยาจกคนนั้นเดินมาใกล้จะถึง ก็ไปหยิบไม้มาอีกอันหนึ่ง ทำทีว่าเป็นคนแก่ เดินงกๆ เงิ่นๆ หลังโก่งหลังงอ ก็เดินผ่านไหทองคำไปเสีย พระอินทร์อย่างนั้นก็คิดว่า “เออ หมอดูคนนี้มันเชื่อได้จริงๆ” คิดแล้วก็เลยแปลงกายเป็นคนแก่มาถามหมอดูว่า “พ่อหมอ เขาว่าหมอดูนี้ดูแม่นเหมือนตาเห็นจริงเหรอ“ หมอดูก็ตอบว่า “ก็พอสมควรนี่แหละ ก็ดูตามตำรา “ พระอินทร์ที่แปลงร่างมาก็เลยถามว่า “เอา ลองดูให้หน่อยซิ ตอนนี้พระยาอินทร์อยู่ไหน “ หมอดูก็นั่งนับ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด เก้า สิบ ก็รู้ว่าชายแก่ข้าง หน้าคือพระอินทร์ก็เลยยกมือไหว้ “พระอินทร์ก็นั่งอยู่ตรงหน้าข้านี่แหละ“ พอหมอดูรู้ว่าคือพระอินทร์ก็ตกใจ พระอินทร์ก็ตกใจ แต่พอได้สติก็คว้าเลขสิบได้ก็รีบเหาะขึ้นบนสวรรค์ เพราะฉะนั้นจุดที่เลยเลขสิบก็เลยกลายเป็นรูโบ๋ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อนับเลข ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ก็เลยกลายเป็น ๐ เหมือนรูโหว่ที่พระอินทร์คว้าเลขสิบไป นั่นเอง เหตุที่ต้องทำบุญให้คนตาย ในกาลครั้งหนึ่ง มีพญาเจ้าเมืองพิมพิสาร มีธิดาเพียงคนเดียว พญาพิมพิสารเป็นคนที่รักลูกมาก เมื่อธิดาของพญาเจ้าเมืองพิมพิสารอายุได้ 18 ปี นางก็ได้ล้มป่วย และได้ล่วงลับดับขันธ์ลงไป พญาพิมพิสารก็แสนโศกเศร้า ไม่รู้จะทำอย่างไรดี คิดห่วงลูกสาว กลัวว่าลูกสาวได้ล้มหายตายจากไปแล้วจะไม่ได้กินจะไม่ได้นุ่ง จะไม่ได้อยู่ดีดังตอนที่มีชีวิตอยู่กับพ่อ กับแม่ พญาเจ้าเมืองพิมพิสารจึงเอาศพของลูกสาวไปไว้อีกฟากแม่น้ำนอกเมือง แล้วใช้ให้ เสนาผู้หนึ่งไปส่งข้าวปลาอาหารให้แก่ศพพระธิดา เสนาก็ได้พายเรือข้ามน้ำไปส่งข้าวทุก วัน ๆ เป็นเวลาถึงหกปี ต่อมาวันหนึ่ง เป็นวันที่น้ำหลากมาก เสนาคนนั้นก็ไม่อาจที่จะข้ามแม่น้ำนั้นไปได้ ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เหลียวไปเหลียวมาเห็นพระภิกษุเดินบิณฑบาตมาตามหนทาง เสนาผู้นั้นก็ได้ใส่บาตรพระภิกษุตนนั้น แล้วก็ส่งผลบุญว่า “ขอให้อานิสงส์ของข้าวบิณฑบาตในคราวครั้งนี้ ขอถวายทานไปถึงลูกสาวของพญาเจ้าเมืองผู้ที่ล่วงลับดับขันธ์ลงไป “ พระภิกษุสงฆ์ก็อนุโมทนาให้ จากนั้นเสนาผู้นั้นก็กลับเข้าเมืองไป พญาเจ้าเมืองพิมพิสารก็ถามว่า “เสนาเจ้ากลับมาแล้วหรือ” “มาแล้วเจ้าข้า” “วันนี้ไปส่งข้าวให้ลูกข้า ไปถึงที่ไหม” เสนาก็บอกว่า “ข้าเจ้าข้ามน้ำไม่ได้เพราะน้ำนอง ข้าเจ้าข้ามไม่ได้ ข้าเจ้าก็เลยยกข้าวไปถวายทานให้แก่พระสงฆ์ที่ท่านมาบิณฑบาตเจ้าข้า" พญาเจ้าเมืองพิมพิสารได้ฟังก็โกรธมาก “วันนี้ลูกสาวของกูอาจจะไม่ได้กินข้าวกินน้ำเพราะมึง “ พญาเจ้าเมืองพิมพิสารก็สั่งให้จับเสนาผู้นั้นไปขังไว้ พรุ่งนี้ก็จะตัดคอเพราะขัดคำสั่งของเจ้าพญา พอตกกลางคืนพญาพิมพิสาร นอนหลับแล้วฝันว่าลูกสาวมาหา ในฝันนั้น พระธิดาได้บอกว่า “พ่อจ๋า ยามเมื่อลูกมีชีวิตอยู่ พ่อก็รักลูกเหมือนแก้วตาดวงใจของพ่อ แต่ยามเมื่อลูกล้มหายตายจากลงไปได้หกปี ลูกเพิ่งได้กินข้าวเมื่อวานนี้มื้อเดียว พ่อไม่รักลูกแล้วหรือจ๊ะ“ ฉับพลัน พญาพิมพิสารก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา และนึกได้ว่าเสนาคนนั้นได้ยกข้าวไปถวายทานให้พระสงฆ์ และเมื่อพระสงฆ์อนุโมทนาบุญ ลูกสาวของตนจึงได้ทานข้าวที่ถวายทานไปให้ ตั้งแต่นั้นพญาพิมพิสารจึงหมั่นทำบุญไปให้ลูกสาว และด้วยเหตุนี้เอง คนทั้งหลายถึงต้องการทานข้าวปลาอาหารไปให้ผู้ตาย

ทำไมกระต่ายถึงไม่กินน้ำ

นิทานอธิบายเหตุ
ที่กระต่ายบ่กินน้ำเพราะกระต่ายได้ไปสัญญากับหอยว่าจะวิ่งแข่งกับหอย กระต่ายนี้ก็เปิ้นวิ่งเร็ว แล้วไปหันหอยเดินช้า แล้วไปสัญญาว่า ถ้ากระต่ายชนะหอยจะยั้งกินน้ำตามลำห้วย ถ้าหอยชนะกระต่ายจะย้างกินน้ำตามลำห้วย หอยนั้นก็สัญญากับกระต่าย แล้วก็ต้องฮ้อง วิ่งไปต้องฮ้อง สหายก็เหยๆ หอยก็มีความสามัคคี หอยนี้ก็ไปนัดเพื่อน อันนี้มันมีสิบลำห้วย ทีนี้ก็บอกต่อๆ กันไปว่า ถ้ากระต่ายมาฮ้องสหายเหย ก็หื้อเหย เหยไปตังหน้าปุ้นติ๊กๆ ทีนี้ก็มาตั้งต้นกันที่ปลายลำธาร กระต่ายก็เอาวิ่งไปแล้ว วิ่งไป ๆ ก็ฮ้อง “สหายหอย” “เหย” หอยเอิ้นอยู่ตังหน้าปุ้น ทีนี้กระต่ายก็วิ่งไปแถม ไปๆ ก็อิด ฮ้องแถม “สหายหอย” “เหย” ผลที่สุดกระต่ายก็หมดแฮง ยอมก๊าน กระต่ายเลยบ่กินน้ำ

นกปู่ติ๊ดหลอกกินปู

นิทานอธิบายเหตุ
นกปู่ติ๊ดมันจุกินปู “ ตัวอยู่นอกกูอินดู ตัวอยู่ในฮูกูจะฆ่า “ ปูได้ยินก็ฟั่งคุยคายออกมา ออกมามันก็หวดเหีย

นกอู๊ดอั๊ด

นิทานอธิบายเหตุ
ตามคำเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่สืบทอดกันมาว่ามีพรานป่าผู้นึ่ง นายพรานผู้นี้อยู่กับลูกสองคนเป็นแม่ญิงตึงสองคน คนนึ่งชื่ออู๊ด คนนึ่งชื่ออั๊ด นายพรานผู้นี้เมียได้ตายไปเมื่อลูกกำลังแบเบาะอยู่ ตามคำเล่านี้อู๊ดกับอั๊ดเป็นลูกกำพร้าแม่ ตามคำสุภาษิตเปิ้นว่าไว้ว่า “กำพร้าพ่อพอยัง แควน กำพร้าแม่ตีนแขวนต้องหย้อง” ตามความเข้าใจของผู้เล่าก็คงหมายถึงอาภัพแม่เหมือนกับเพลงๆ นึ่งที่ว่าแม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง เป็นเพลงอะหยังลองกึ๊ดกอยเต๊อะ พรานคนนี้อาชีพของแกก็คือหาปลา เครื่องมือของแกก็คือแห เรียกว่าทอดแห นายพรานก็อยู่กับลูก แล้วรักลูกเป็นชีวิตจิตใจ หวงลูก ขางลูกอู๊ดกับอั๊ดนั้นก็อย่างว่า วันเวลามันหยังมาเร็วดังใจเป็นสาวแล้ว อายุก็สิบห้าหยกๆ สิบหกหย่อนๆ งามเหีย หนุ่มทังหลายจ้องมองตาเป็นมัน อยากใคร่ได้มาเป็นเมีย แต่เข้าหาบ่ใคร่ได้เพราะพ่อนี้รักลูก กีดกันลูก เพราะลูกนี้เป็นกำพร้าแม่ อยู่มาวันนึ่ง การหาปลานี้ก็ต้องไปหากันกลางคืน คือไปทอดแห เอาปลามาเลี้ยงชีพ เวลานั้นก็เป็นหน้าหนาวเสียด้วย ก่อนี่จะไปทอดแหหาปลา ก็สั่งลูกทั้งสองไว้ว่า “ลูกอู๊ดอั๊ด พ่อจะไปหาปลาเน่อ เดิกปุ๊นละพ่อจะมา ถ้ามีไผมาฮ้องก็จะไปเปิดประตูนา ลูกจะไปเปิดนา จำคำนี้ไว้หื้อดีๆ” นายพรานหลังจากสั่งลูกแล้วก็ออกไปหาปลาตามเคยมันเป็นเวลาหน้าหนาว หนาวจนทนบ่ได้ จะรอหื้อมันเช้าก็บ่ไหวจึงกลับเข้าบ้าน มาฮ้องลูกไขประตูว่า “อู๊ดอั๊ด พ่อมาแล้วหนา ไขประตูหน้อยๆ ๆ พ่อหนาวแก่หนา” ฮ้องจนเสียงแหบเสียงแห้ง อู๊ดกับอั๊ดก็บ่ยอมไขประตูเพราะพ่อสั่งไว้ว่าถ้ามีไผมาฮ้องจะไปไขประตู จนในที่สุดพ่อทนบ่ได้ก็ขาดใจตายคาปากประตู พอแจ้งอู๊ดกับอั๊ดก็ไขประตูออกมาหันใส่พ่อ ด้วยความโศกเศร้าเสียใจรำพันว่า “ที่ฮ้องเมื่อคืนคงจะเป็นพ่อเฮาถ้าว่าเฮาไขประตูหื้อเปิ้นคงจะบ่ตาย เพราะพ่อทนความหนาวบ่ได้” พอนายพรานหลังจากได้ตายไปแล้ว วิญญาณก็ได้ไปเกิดเป็นนกมาร้องเรียกตามเขตบ้านเก่า เพราะมีความผูกพันอยู่กับบ้านเก่า คือลูก มาฮ้องเป็นเสียงนก “อู๊ดอั๊ด ไขเต๊อะๆๆ” นกอู๊ดอั๊ดฮ้องหาลูก เขาเรียกว่าวิญญาณสัมพันธ์ ถ้าวิญญาณของพายพรานเป็นปลาก็ว่าไปอย่างเพราะนายพรานได้ฆ่าปลา ทีนี้ไปเกิดเป็นนก ท่านลองคิดดูว่าเรื่องนี้มีแง่คิดในเรื่องใด คำสั่งของพ่อต่อลูก หรือลูกเป็นผู้ผิด หรือว่าเป็นเรื่องของเวรกรรมคือการกระทำ

อายุของคน

นิทานอธิบายเหตุ
มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับอายุของคนว่า ในอดีตกาลนานเกินว่าจะนับได้นั้น คนเรามีอายุขัยเพียงแค่ 30 ปี เพราะพระพุทธเจ้าท่านให้มาแค่นั้น คนมีอายุขัย 30 ปี วัวควายมีอายุขัย 30 ปี หมามีอายุขัย 30 ปี ลิงมีอายุขัย 30 ปี มูลเหตุเกิดจาก วันหนึ่งพระพุทธเจ้าก็เรียกคนและสัตว์ทั้งหลายมาถามว่า “วัวควายอย่างพวกเจ้ามีหน้าที่อะไร“ วัวควายก็ตอบว่า “พวกเราต้องทำงานเป็นขี้ข้าของเขา” พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า “พวกเจ้าเอาอายุไป 30 ปี “ พวกวัวควายก็ร้องอุทธรณ์ว่า “ไม่เอา พวกเราเอาให้คนเสีย 20 ปี เราเอาแค่ 10 ปีก็พอ“ เมื่อวัวควายเอาอายุขัยให้คนไป 20 ปี คนจึงอายุขัยได้ 50 ปี พระพุทธเจ้าก็เรียกหมาเข้ามาถามต่อว่า “หมา เจ้าเกิดมาทำอะไร” “ก็เอาไว้เห่าไว้หอนให้คนนะสิ “ “ถ้าเช่นนั้น พวกเจ้าเอาอายุไป 30 ปี“ หมาก็ร้องขัดขึ้นว่า “ไม่เอา พวกเราเอา 10 ปีก็พอแล้ว ที่เหลือจากนั้นยกให้คน“ เมื่อหมายกอายุขัยให้อีก 20 ปี คนจึงมีอายุขัย 70 ปี พระพุทธเจ้าก็เรียกลิงเข้ามาหาอีกแล้วถามว่า “ลิง เจ้าเกิดมาทำอะไร “ “พวกข้าเกิดมาก็เพื่อจะได้เล่นหน้าเล่นตาให้คนดู“ “ถ้าเช่นนั้น พวกเราเจ้าเอาอายุไป 30 ปี“ ลิงก็ไม่เอาอีก “พวกข้าเอาแค่ 10 ปีก็พอ เหลือจากนั้นเอาให้คน “ ด้วยเหตุนี้ เมื่อเอาอายุของวัวควาย หมา ลิงมารวมให้คน คนจึงมีอายุขัยตั้งแต่ 70-90 ปีและก็มีพฤติกรรมในแต่ละช่วงอายุต่างกันไปตามลักษณะของสัตว์ที่ยกอายุขัยให้ คือ เมื่ออายุ 30 ปี ชีวิตคนก็จะสนุกสนาน ไม่คิดอะไร เมื่ออายุ 30 ปีถึง 50 ปี ได้เอาอายุงัวอายุควายมาใช้ จะไปที่ไหนก็เป็นห่วงเป็นกังวลอยู่ตลอดเวลาเหมือนกับวัวที่เขาสนตะพายไว้ เมื่ออายุ 50-70 ปี ได้เอาอายุของหมามาใช้ ก็จะเป็นห่วงสมบัติ กลัวว่าใครเขาจะมาขโมย สมบัติไหมหนอ ของจะหายไหม ได้ยินเสียงหมาเห่าที่ไหนก็ระแวงไปหมด เที่ยวเฝ้าของเหมือนเช่นหมา พออายุ 70-90 ปี เอาอายุอายุลิงอายุวอกมาใช้ ก็มีพฤติกรรมเหมือนวอกเหมือนลิง ได้หน้าลืมหลัง ได้หลังลืมหน้า

เป็ดไข่แล้วไม่เลี้ยงลูก

นิทานอธิบายเหตุ
เมื่อไก่มันจะมาเมืองมนุษย์หนที มันข้ามน้ำบ่ได้เป็ดมันขามน้ำได้ ก็ขอยองหลังเป็ด เป็ดก็ว่า “สหายจะเยียะจะมีอะหยังตอบแทนข้าพ่อง” “กันถึงเมืองมนุษย์แล้วข้าจะฮับเลี้ยงลูกหื้อ” “ตกลง” เป็ดก็เอายองหลังข้ามมา มาเถิงเมืองมนุษย์จานั้นเนาะ บ่าเด่วนี้เป็ดมันตึงบ่ายอมเลี้ยงลูก มันบ่ฟักไข่เพราะไก่เป็นลูกจ้างมัน ไก่ส้ายหนี้ เลี้ยงลูกหื้อเป็ด

เหตุที่ควายเขาโง้ง

นิทานอธิบายเหตุ
เปิ้นบอกหื้อควายไปบอกว่า “ หื้อหมากินแกลบ หื้อหมูกินเข้า “ ควายบอกผิด “ หื้อหมากินเข้า หื้อหมูกินแกลบ “ ควายก็เลยโดนบิดจนเขาว้อง

เหตุที่หมูปากเจ่อ

นิทานอธิบายเหตุ
เปิ้นบอกหื้อหมูไปบอกว่า “ หื้อหมากินหญ้า หื้อควายกินเข้า “ เพราะควายมันเยียะนา ทีนี้หมูบอกไม่ถูก “ หื้อหมากินเข้า หื้อควายกินหญ้า “ ก็เลยตบปากหมู ปากหมูก็เลยบึน

เหตุใดฆ่าหอยแล้วเป็นบาปหนัก

นิทานอธิบายเหตุ
หอยกู้ชีวิตมนุษย์ไว้ ทีนี้พระอินทร์ลงมาปั้นรูปช้างเปี๊ยะมนุษย์ “อันนี้สูว่างามก่อ “ หมอนั่นก็มาติ “งวงมันยาว“ หมอนึ่งก็มาติ “หูมันใหญ่“ หมอนั่นก็มาติ “ตามันหน้อย“ พ่องก็มาติ “ หางมันยาว“ ก็ติไปเรื่อย ๆ “บ้า กูก็พระอินทร์แล้วนา บ่ใช่มนุษย์นา นี่มาปั้นเปี๊ยะสู จะถูกตัดคอละหมู่นี่ แหมเจ็ดวันจะมาตัดคอละ “ ทีนี้หอยก็ฮ้อนใจก่า กลัวคนเฮาตาย ก็มาอุทธรณ์ “ พระอินทร์บ่ถ้าเชื่อมนุษย์ขี้เหม็น บ่เหลือก้นข้าเขายังจูบ “

ไก่ขันใกล้แจ้ง

นิทานอธิบายเหตุ
ไก่ได้ยินเสียงกลองพระอินทาอยู่บนชั้นฟ้าเริ่มเลือกคน ๓ คนเป็นเพื่อนเดียวกัน ๑.นายทิตย์ ๒.นายจันทร์ ๓.นายไก่ ธรรมดานายทิตย์นั้นเป็นคนไปแสวงหาเนื้อในป่าเสมอๆ แต่นายจันทร์ไปเลี้ยงควายทุกวัน ๆ นายไก่เฝ้าบ้านเสมอ มีวันหนึ่งนายจันทร์ขี้เกียจ ใช้ให้นายไก่ไปเลี้ยงควายแทน แล้วนายไก่ก็จิกควาย ทนไม่ไหว เดือดร้อน นายจันทร์เห็นดังนั้นก็ตีนายไก่จนขาหักทั้งสอง พอดีนายทิตย์รู้ ก็ทะเลาะกันขึ้น บ่ถูกกัน ว่าต่อไปนี้เฮา ๓ คนบ่ต้องปะกันเลย ตั้งแต่นั้นไป ใกล้รุ่ง ตีนฟ้ายกไก่ก็ขัน พระอาทิตย์ออก ไก่ก็ไปเสาะหากิน พระจันทร์ออก ไก่ก็หลับเสีย ดังนี้แล