มีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่า ในอดีตนั้น บริเวณหมู่บ้านต่างๆ จะเป็นป่าละเมาะ
ถ้าเข้าไปในป่าลึกๆ จะเป็นป่าทึบ คนสมัยก่อนเขาก็หากินกันตามป่า ไปเก็บผักเก็บไม้ หักเอาหลัว หรือฟืนมาก่อไฟ ยามถึงฤดูที่เห็ดงอกออกมาก็ไปหาเห็ดกันตามป่าตามดอย
คนสมัยก่อนเขาเชื่อว่าที่ป่าจะมีผีมีสางเทวดารักษาป่าอยู่ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ชาวบ้านก็พากันไปหาเห็ดในป่า เมื่อไปถึงป่า ชาวบ้านก็แปลกใจที่เห็นกองหลัวอยู่กลางป่า แต่ต้นไม้ที่อยู่ข้างๆ กองหลัวและก็ห่างออกไปก็ไม่มีรอยฟันรอยตัดเลย ชาวบ้านก็ตกลงกันว่า คงจะไม่ใช่ของใครจึงเผากองหลัวนั้นเสีย แล้วก็พากันกลับบ้าน
ไม่กี่วันหลังจากนั้นชาวบ้านก็พากันไปเก็บเห็ดอีก ก็ไปเจอกองหลัวอีก ชาวบ้านต่างก็พากันแปลกใจยิ่งกว่าเดิม เพราะข้างๆ กองหลัวที่เผาไปแล้วนั้นมีกองหลัวมาใหม่อีก กองใหญ่กว่าเดิม ชาวบ้านก็ช่วยกันหาว่า กองหลัวนี้มันมาอยู่นี่ได้อย่างไร แล้วก็ฟืนเหล่านี้เอามาจากที่ไหน ชาวบ้านก็เดินหาเห็ดไป ไกลออกไปเรื่อยๆ ก็ไปพบต้นไม้ถูกหักเป็นบริเวณกว้าง ซึ่งต้นไม้ถูกหักนี่ก็อยู่ห่างจากกองหลัวมากเกินกว่าจะนับได้ว่าห่างไปกี่กิโลเมตร ชาวบ้านก็เลยกลับบ้าน เอาเรื่องมาเล่าให้คนเฒ่าคนแก่ที่บ้านฟัง
คนเฒ่าคนแก่ก็พากันไปดู คนเฒ่าคนแก่ก็บอกว่า กองหลัวพวกนี้เป็นของผีป่า แล้วเมื่อใดกองหลัวมีมากๆ ผีมันก็จะช่วยกันเผาเสีย ถ้าเมื่อใดผีมันเผาหลัว ปีนั้นฝนก็จะไม่ตก ฝนแล้ง
เมื่อเป็นอย่างนี้ชาวบ้านก็กลัวกันว่า เมื่อผีเผาหลัวฝนก็จะไม่ตกก็จะไม่ได้ทำไร่ทำนา ก็พากันปรึกษากันแล้วก็นิมนต์พระสงฆ์ไปทำพิธีเผากองหลัว โดยบอกผีป่าที่รักษากองหลัวว่า ให้เอ็นดูชาวบ้านบ้างถ้าฝนไม่ตกก็จะไม่มีข้าวกิน พระสงฆ์ก็เผากองหลัวนั้นเสีย ตั้งแต่นั้นมาฝนก็ตกเป็นปกติ ชาวบ้านก็ได้ทำไร่ทำนากัน