สัจจะ



          ยังมีสามีภรรยาคู่หนึ่ง ทั้งสองแต่งงานกันมานานมากและให้สัจจะซึ่งกันและกันว่าจะรักกันไปตลอด ถึงว่าใครคนใดคนหนึ่งตายก็จะไม่แต่งงานใหม่อีกต่อไป ทั้งสองก็ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขมาเรื่อยๆ จนวันหนึ่งฝ่ายสามีก็ไดเตายจากภรรยาสุดที่รักไป ภรรยาก็ได้แต่ร้องไห้คร่ำครวญคิดถึงสามีที่ตายไป นางจึงได้ไปที่ป่าช้าแล้วขุดเอาหัวกะโหลกสามีตนมาเก็บไว้แล้วก็ออกเดินทางเป็นขอทานไปตามเมืองนั้นเมืองนี้ไปเรื่อยอย่างคนที่ไม่มีจุดหมาย จนไปถึงเมืองๆ หนึ่งนางก็ไปนั่งขอทานอยู่และยังมีลูกชายของเศรษฐีมาชอบพอนาง เพราะว่านางนั้นมีหน้าตาที่สวยงาม แต่ว่านางนั้นไม่ยอมแต่งานกับใครเลยเพราะได้ให้สัจจะกับสามีตนที่ตายไปแล้วว่าจะไม่แต่งงานกับใครอีก

          ฝ่ายลูกเศรษฐีก็vยากที่จะได้นางนั้นมาเป็นเมียของตนเองจึงได้ไปรบเร้ากับพ่อให้มาสู่ของนางมาเป็นเมีย ฝ่ายพ่อเศรษฐีนั้นก็มาพูดจาสู่ขอนางขอทานแต่ว่าก็ไม่สำเร็จ จนฝ่ายเศรษฐีประกาศกับชาวบ้านชาวเมืองทั้งหลายว่า

          “ถ้าใครที่สามารถที่จะเอานางขอทานคนนี้มาเป็นเมียได้ เราจะเอาทองคำน้ำหนัก ๑,๐๐๐ ทองคำให้เป็นรางวัล”

          ชาวเมืองทั้งหลายก็ต่างพากันมาติดต่อเชื้อเชิญ เล้าโลมนางคนนี้เพื่อที่จะเอาไปเป็นเมียตนเอง แต่จนแล้วจนเล่า นางก็ไม่ยอมที่จะเป็นเมียของใครซักคน เพราะว่านางนั้นได้ให้สัจจะกับสามีที่ตายของตนเองไปว่าจะไม่ยอมแต่งงานใหม่กับใครอีก

          ชายทั้งเมืองไม่มีใครเลยที่สามารถแต่งงานกับนางได้ จนวันหนึ่งมีชายยาจกต่างเมืองเดินมาเห็นชาวเมืองทั้งหลายต่างเข้าคิวเรียงแถวกันไปจีบนางขอทานคนนี้เป็นแถวยาวเหยียดก็เลยเข้าไปถามเศรษฐีที่นั่งดูตรงนั้น

          “ท่านเศรษฐีครับ เขาเข้าแถวทำอะไรกันครับ”

          “อ้อ เข้าแถวเพื่อที่จะขอนางขอทานคนนั้นแต่งงาน เพราะว่าถ้าใครที่ขอนางคนนั้นแต่งงานได้ข้าจะเอาทองคำเป็นรางวัลให้ ๑,๐๐๐ น้ำหนักทอง เพราะว่านางนั้นไม่ยอมแต่งงานกับใครเลย เนื่องจากว่านางนั้นตั้งสัจจะกับสามีที่ตายไปแล้วว่าจะไม่แต่งงานใหม่ และก็เอากะโหลกสามีนอนกอดทุกวัน”

          “จริงหรือครับท่าน ข้าขอลองได้ไหม?”

          “ได้สิตามใจเจ้า ขนาดเราเป็นถึงเศรษฐี นางยังไม่สนเลย เจ้าเป็นคนยากจนจะไปมีปัญญาอะไร”

          “งั้นข้าขอลองนะท่าน”

          “ก็เอาสิ”

          ตกกลางคืน ชายยากจนนั้นก็เข้าไปในป่าช้าแล้วก็ขุดเอาหัวกะโหลกผีขึ้นมาหัวหนึ่ง พอวันรุ่งขึ้นชายยากจนก็เอาหัวกะโหลกที่ขุดมานั้นใส่ในถุงย่ามของตนเองแล้วก็เดินเที่ยวตามหาว่านางขอทานอยู่ที่ไหน เมื่อรู้ที่อยู่ของนางและก็รู้อีกว่านางนอนที่ศาลาริมทางทุกคืน

          ตอนเย็นชายยากจนก็เดินมาที่ศาลาริมทางที่นางขอทานทำเป็นที่นอนนั้น และแสร้งทำร้องไห้ฟูมฟายตลอดทาง เมื่อมาถึงศาลาก็เข้าไปนั่งร้องไห้อีก นางขอทานจึงถามชายคนนั้นว่า

          “ท่านเป็นอะไรเหรอถึงได้ร้องไห้ขนาดนั้น”

          “เราคิดถึงเมียเราที่ตายนะสิ นางตายแล้วข้าก็คิดถึงมากเลย ข้าก็เลยเอากะโหลกเมียเรามานอนกอดนี่นะ”

          “แล้วท่านทำไมไม่แต่งงานใหม่ละ”

          “ข้าให้สัจจะกับเมียว่าจะไม่แต่งงานใหม่จะรักนางคนเดียวเท่านั้น”

          “ข้าก็เหมือนกัน ผัวข้าตายไปและข้าก็ทำเหมือนกับท่านนี่แหละ”

          ชายยากจนก็เอ่ยอีกว่า

          “นาง ข้าขอนอนที่ศาลานี้ด้วยได้ไหม?”

          “ได้สิท่าน”

          พอตกกลางคืนนางขอทานก็หลับไปแล้ว ฝ่ายชายยากจนนั้นยังไม่หลับมันก็แอบไปเอาหัวกะโหลกสามีนางขอทานที่เอาไว้ในถุงย่ามของนางมาแล้วก็เอามาใส่ไว้ในถุงย่ามของตนเอง พอรุ่งเช้าชายยาจกก็ร้องตะโกนโวยวายขึ้นมา

          “โอ้...... นี่นาง สามีของนางนะแอบมาเป็นชู้กับเมียเรานะดูสิ เข้ามาอยู่ในถุงย่ามเรา ข้าไม่ยอมนะ ยังไงก็ไม่ยอม มิหน้าละเมื่อคืนข้าได้ยินเสียงกุกกัก ข้าก็นึกว่าหนูมาแถวนี้ ยังไงข้าก็ไม่ยอม”

          ฝ่ายนางขอทานนั้นก็ไม่รู้จะทำอย่างไรได้แต่ร้องไห้

          “โถ พี่นี่ช่างไม่รักษาสัจจะที่เราเคยให้ต่อกันเลยนะว่าจะไม่นอกใจกัน จะรักเดียวใจเดียวซื่อต่อกัน ทำไมพี่ทำอย่างนี้”

          เรื่องก็เกิดขึ้นฝ่ายชายยากจนก็ไม่ยอมก็เลยเข้าไปฟ้องกับเจ้าเมืองให้ช่วยตัดสินคดีนี้ ฝ่ายเจ้าเมืองก็เรียกทั้งสองฝ่ายมาถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แลตัดสินให้นางขอทานนั้นเป็นเมียของชายยากจนเสียเพื่อเป็นการใช้หนี้ที่ผีสามีของนางขอทานไปแอบเป็นชู้กับผีเมียของชายยากจนนั้น

          หลังจากที่แต่งานกันเรียบร้อยแล้ว ชายยกจนก็ไปที่บ้านของเศรษฐีเพื่อทวงทองที่เศรษฐีจะให้ตามสัญญา ท่านเศรษฐีก็ไม่รู้จะทำอย่างไรก็จำยอมเอาทองมาให้ตามสัญญา และหลังจากนั้นเจ้าคนยากจนและนางขอทานก็ไม่ต้องขอทานอีกเพราะว่ามีฐานะขึ้นมาและก็ประกอบอาชีพที่สุจริตจนร่ำรวยสบายเป็นเศรษฐีของเมืองๆ นั้นอีกครอบครัวหนึ่ง