พ่อเป็นมหา



          มีครอบครัวอยู่ครอบครัวหนึ่ง อยู่กินกันมีพ่อมีแม่มีลูกอีกสองคน เป็นลูกสาวคนหนึ่งลูกชายคนหนึ่ง ลูกชายค่อนข้างจะเป็นผู้ทันสมัยหน้อย กำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ส่วนลูกสาวนั้นกำลังเรียนอยู่ชั้นประถมปลาย พอจบก็อยู่บ้านกับพ่อกับแม่ ส่วนพ่อนั้นเคยบวชเรียนจนเป็นมหา พ่อเป็นคนสุขุมมีความรู้ทางด้านธรรมะ มีความรู้ทางโลก มีความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ คือความกรุณาต่อสัตว์ทั้งหลาย มีความวางเฉยสรุปแล้วหมายความว่ามีคุณธรรมในจิตใจ

          อยู่มาวันหนึ่ง ลูกชายไปเรียนที่มหาวิทยาลัย ก็ไปพบเพื่อนฝูงไปประสบกับโลกภายนอก เพื่อนฝูงก็ถามว่าที่บ้านเป็นหยั่งใด ครอบครัวเป็นหยั่งใด ส่วนเพื่อนนั้นเป็นลูกเศรษฐี เป็นลูกนายพลนายพัน เป็นลูกคุณหญิงคุณนาย มีเงินใช้กันอย่างเหลือเฟือ ส่วนครอบครัวของมหานั้นเล่าก็ไม่ถึงกับยากจน แต่ก็มีอันจะกินเป็นครอบครัวที่ใจบุญสุนทาน

          อยู่มาวันหนึ่ง ลูกชายเศรษฐีเกิดไปหลงระเริงไปคบเพื่อนเที่ยวเตร่กลางคืน ยิ่งยุคปัจจุบันมีลานสเก็ต มีดิสโก้เธค แต่พ่อก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไรนัก เพียงแต่อบรมสั่งสอนว่าอะไรควรอะไรไม่ควร ไอ่ลูกคนโตซึ่งเรียนอยู่มหาวิทยาลัยหัวทันสมัยหน้อยก็ย้อนพ่อซึ่งเป็นมหาว่า

          “พ่อเป็นแค่มหาอะไรก็ไม่รู้ ความรู้ก็ต่ำ อย่ามาสั่งสอนเลย พวกเขาเรียนระดับมหาวิทยาลัย”

          ว่าอย่างนั้นพ่อก็ไม่ปริปากว่าอะไรทั้งนั้น พ่อก็อดทน อยู่มาวันหนึ่ง ลูกชายในครอบครัวบ้านมหาไปบ้านเพื่อนฝูงสองสามครอบครัว มีครอบครัวของเพื่อนครอบครัวหนึ่งพ่อทะเลาะกันเรื่องพ่อมีเมียน้อย พ่อเจ้าชู้ อีกครอบครัวหนึ่งแม่เล่นการพนัน เล่นไพ่ ถั่วโปไฮโลทุกสิ่งทุกอย่าง ครอบครัวไม่เป็นสุขแต่ละครอบครัวเป็นคุณหญิงคุณนายทั้งนั้น เขาเกิดคิดขึ้นมา

          “เอ้ ครอบครัวของคนอื่นที่มีเงินทองจับจ่ายใช้สอยมากมาย ขนาดมีเงินทองใช้จ่ายอย่างดีมันก็หาความสุขอันแท้จริงบ่ได้สู้ครอบครัวของเฮาเองบ่ได้ แม้พ่อจะเป็นมหาความสุขก็เกิดขึ้นได้”

          และแล้วอยู่มาวันหนึ่ง พ่อก็พาไปกราบหลวงปู่ ซึ่งพ่อของเขาเองเมื่อเป็นมหาเคยบวชอยู่วัดนั้น หลวงปู่ก็ได้อบรมสั่งสอน ธรรมจริยาต่างๆ จนเขาเกิดความเลื่อมใสในสัจธรรม จึงขอบวชในบวรพุทธศาสนา

          นิทานเรื่องนี้จึงสอนให้รู้ว่า อย่าดูหมิ่นคน อย่างปรามาสคน และก็ให้ศึกษาในสิ่งที่ควรศึกษาให้เข้าใจในสิ่งที่เข้าใจ อย่าหลงระเริงในลาภยศ หรือรูป รส กลิ่นเสียง