มูลละเหล้า



          กาลครั้งหนึ่งมีเศรษฐีคนหนึ่ง มีครอบครัวแล้ว เศรษฐีผู้นั้นมีลูกผู้ชายคนหนึ่งมีนิสัยดื้อรั้น เกกมะเหรกเกเรเป็นที่รังเกียจของคนทั้งเมือง อยู่มาวันหนึ่งลูกชายเศรษฐีอยากได้เมียจึงขอให้เศรษฐีช่วยหาสาวให้ พ่อมันก็ไม่หา ขอแม่ให้หาสาวก็ไม่หาให้ ลูกชายเศรษฐีก็จึงเข้าป่าไม้ดงหนาป่าคาดงใหญ่ไปตามลำพัง ต่อมาไปเจอผู้หญิงคนหนึ่ง ลูกชายเศรษฐีอยาก
ได้เป็นเมีย ฝ่ายผู้หญิงก็ถามว่า

          “พี่เป็นลูกใคร พ่อแม่พี่เป็นใครจ๊ะ”

          ลูกชายเศรษฐีก็ตอบว่า

          “พี่นี้เป็นลูกมหาเศรษฐี อยู่เมืองพาราณสี”

          ผู้หญิงผู้เป็นเมียก็คิดว่า

          “โอ ผู้ชายคนนี้คงเป็นเนื้อคู่ของเรา มรดกมันก็คงจะเยอะแยะเพราะเป็นถึงลูกเศรษฐี”

         
          นางก็ตกลงปลงใจไปอยู่กินเป็นผัวเมียกันกับลูกชายเศรษฐี จนมาถึงเดือนเมษายนซึ่งเป็น ช่วงปีใหม่ ลูกชายเศรษฐีก็มาคิดว่า

          “โอ้ ถึงปีใหม่แล้วเหรอนี่ ดีละ เราจะไปซื้อเสื้อผ้าซื้อของไปดำหัวพ่อแม่”

          ฝ่ายเมียนั้นก็จึงทำอาหาร ขนมข้าวต้มเสร็จสรรพ ก็ไปซื้อกางเกง ซื้อเสื้อ ซื้อผ้าขาวม้าจะไปดำหัวพ่อแม่ของสามีตน แล้วก็เดินทางกันไปสองคนผัวเมีย

          แต่พอมาถึงบ้านเศรษฐี จะมาสระเกล้าดำหัว แม่ของมันก็ไม่มองหน้า เพราะเจ็บใจที่มีลูกก็ไม่เชื่อฟัง เป็นคนเกเร พอมันพาเมียไปหาพ่อ ขอพ่อให้พร พ่อเศรษฐีก็ไม่ปริปากให้พร แม้แต่คำเดียว ทั้งสองผัวเมียจึงออกจากบ้านเศรษฐีมาด้วยเสียใจ เดินเข้าไปในป่า ไปพบ
ต้นไม้ใหญ่ มีโพรงไม้ใหญ่อยู่ข้างใน ลูกชายเศรษฐีมันก็เข้าไปปวารณาขอสูมาพ่อแม่ที่โพรงไม้ใหญ่นั้น แล้วก็เอาอาหาร ขนมข้าวต้ม เสื้อผ้าไปไว้ในโพรงไม้นั้น

          พอถึงฤดูฝน ฝนก็ตกลงมาไปขังอยู่ในโพรงไม้ น้ำที่ตกลงมาก็ไปหมักขนมข้าว ต้ม ทั้งเสื้อ ซิ่นที่ลูกชายเศรษฐีเอาไปใส่ไว้ หมักนานจนกลายเป็นเหล้า

          ต่อมามีนายพรานคนหนึ่งเข้ามาในป่าไปหากวางหาเก้ง ก็เห็นว่าทั้งนกทั้งหนู เดี๋ยวๆ ก็บิน ลงมาในโพรงไม้นั้น ต่างแย่งกันบินขึ้นบินลง แล้วจิกตีกัน นายพรานก็คิดว่า นกพวกนี้มัน ยังไงกันนะ บินมาเกาะที่โพรงไม้ ประเดี๋ยวก็บินขึ้นไปตีกันดีดกันอยู่บนอากาศ กูจะลองไปดูสักทีสิ

          คิดดังนั้นแล้ว นายพรานก็ปีนขึ้นไปดูในโพรงไม้ก็เห็นมีน้ำขังอยู่ ก็คิดว่า พวกนกหนูที่บิน ขึ้นไปตีกันนั้นก็คงเพราะมากินน้ำนี้เป็นแน่ ว่าแล้วก็นายพรานก็ลองตักมาดื่ม พอดื่มได้ไม่เท่าไหร่ก็เมา ลืมลูกลืมเมียจนหมด พอดื่มจนเมาแล้ว นายพรานก็มาคิดว่า เอ...ถ้ากู
กลับไปบ้านแล้ว กูจะรู้ได้ยังไงว่าโพรงไม้ต้นนี้ ก็จึงคิดเขียนเลขกำกับไว้มันจะได้จำได้ ต่อมาไม่นาน ลูกสาวเจ้าเมืองจะแต่งงาน จะจัดงานเลี้ยงกันแต่ไม่มีเหล้า เจ้าเมืองจึงเรียกนายพรานเข้ามาถามว่า

          “นายพราน สูรู้ไหมว่ามีเหล้าที่ไหนบ้าง ข้าจะจัดงานแต่งงานให้ลูกแต่ไม่มีเหล้า สูพอจะรู้ไหม”

          นายพรานก็รีบตอบว่า “โอ้ ผมรู้ครับ ผมจะไปเอาเหล้ามาให้”

          แล้วนายพรานก็เข้าป่าไปตักเอาเหล้ามาให้เจ้าเมือง พอเจ้าเมืองได้ชิมก็สนุกสนาน บอกว่าเหล้านี่มันอร่อยกว่ากินข้าวเสียอีก พอกินเหล้าไปมากๆ ก็สั่งให้คนใช้ไปฆ่าไก่มากิน แกล้มเหล้าจนไก่หมดทั้งเล้า คนใช้ก็มาบอกว่าไม่มีอะไรให้มากินแกล้มเหล้าแล้ว แต่เจ้าเมืองก็ไม่พอใจเพราะกำลังสนุก

          ขณะนั้นเอง ลูกคนเล็กของเจ้าเมืองอายุเพิ่งได้ 2-3 ขวบก็คลานออกมาจากห้อง เจ้าเมืองเห็นก็สั่งให้คนใช้เอาลูกคนเล็กนั้นไปฆ่ามาต้มกินกับเหล้า พอรุ่งเช้า เจ้าเมืองสร่างเมาถามหาลูกคนเล็กจ้าละหวั่น

          “ลูกข้าอยู่ไหน ลูกข้าอยู่ที่ไหน เจ้าเห็นไหม”

          คนใช้ก็ตอบว่า

          “ก็ท่านสั่งให้ข้าเอาไปฆ่าแล้วต้มกินกับเหล้าแล้วนี่ท่าน นี่ไง ข้ามีหลักฐาน” แล้วคนใช้ก็เอามือของลูกคนเล็กที่ตัดไว้มาให้เจ้าเมืองดู ฝ่ายเจ้าเมืองเห็นดังนั้นก็เสียใจจนสลบไป นี่คือโทษของเหล้าที่ไม่เคยให้ประโยชน์อะไรกับใครเลย เพราะถ้าไม่มีโทษกับคนอื่นๆ ก็ยังทำให้เกิดโทษกับตนเอง