ได้-เสีย



          กาลครั้งหนึ่ง มีเศรษฐีคนหนึ่งเป็นคนธัมมะธัมโม รู้กฎธรรมชาติเป็นอย่างดี แต่ลูกเมียและคนในบ้านเป็นคนไม่สนใจในหลักธรรมใดๆ เลย เศรษฐีมีม้าแสนรู้อยู่ตัวหนึ่ง เศรษฐีและคนในบ้านรักมัน ต่างดูแลมันอย่างดี

          อยู่มาวันหนึ่งเจ้าม้าแสนรู้ตัวนั้นหายออกจากบ้านไปโดยที่ใครก็ไม่รู้ ลูกเมียของเศรษฐีต่างโศกเศร้าเสียใจเป็นการใหญ่ เศรษฐีก็ปลอบลูกปลอบเมียว่า

          “สงบใจกันเสียเถอะ เรื่องได้เรื่องเสียนั้นเป็นของธรรมดา ให้คิดเสียเวลา ตอนที่ได้ม้ามานั้นทำไมเราถึงได้มา ตอนนี้มันหายไปก็ให้คิดว่าทำไมมันถึงหายไป มันหายไปแล้วก็
หายไป มันอาจจะมีอะไรดีๆ มาตอบแทนเราก็ได้ อย่าเสียใจไปเลย หยุดร้องไห้เสียเถอะ”

          ลูกเมียและคนใช้เมื่อได้ฟังดังนั้นก็ต้องจำใจนิ่งแล้วหยุดร้องไห้ตามคำตักเตือนของเศรษฐี แต่ใจจริงของทุกคนนั้นไม่เชื่อ คำพูดของเศรษฐี เพราะคิดว่าไม่มีอะไรมาแทนได้
หรอก

          อยู่มาไม่ช้าไม่นานเจ้าม้าแสนรู้ของเศรษฐีที่ความจริงแล้วมันหลุดออกจากคอกไปเที่ยวในป่า ก็เลยไปอยู่รวมกับฝูงม้าป่าเสียหลายวันนั้น ก็เกิดคิดถึงบ้าน ก็จึงกลับมาบ้านเศรษฐีพร้อมด้วยม้าป่าอีกหลายสิบตัวที่ตามมาด้วย

          ฝ่ายลูกเมียของเศรษฐีและคนใช้เมื่อเห็นม้าป่าหลายสิบตัวตามมาในบ้านก็ดีอกดีใจกันมาก ไปขอร้องให้เศรษฐีทำบุญรับขวัญม้า ท่านเศรษฐีก็ปรามว่า

          “อย่าเพิ่งดีใจกันนักเลย ตอนม้าหายไปเสียใจกันใหญ่ ตอนนี้เราได้ม้ามาหลายตัว แต่ต่อไปเราจะเสียอะไรไปก็ไม่รู้ เวลาได้อย่าแสดงอาการจนเกินไป การแสดงอาการดีใจง่ายๆ เสียใจง่ายๆ ไม่ใช่หลักของคนฉลาด มันเป็นหลักของคนโง่”

          เมื่อได้ฟังดังนั้น ลูกเมียก็จำใจงดการฉลองรับขวัญม้า ต่อมาไม่นานนัก ลูกชายของเศรษฐีซึ่งเป็นลูกชายคนเดียวเกิดอยากจะขี่ม้าขึ้นมา ม้าแสนรู้ตัวเก่าซึ่งถือว่าเป็นวัวเคยขาม้าเคยขี่ ก็ไม่อยากจะขี่เพราะขี่จนชิน อยากจะลองขี่ม้าตัวใหม่ซึ่งตามม้าแสนรู้มา ลูกชายเศรษฐีก็กระโดดขึ้นหลังม้าป่า ซึ่งไม่เคยฝึกมาก่อน ม้าก็สะดุ้งตกใจลอดเข้าใต้ถุนบ้าน ลูกชายเศรษฐีหัวฟาดกับเสาหัวแตก ตอนที่ม้าลอดเข้าใต้ถุนบ้าน แข้งขาหักถึงกับร่างกายพิการ ภรรยาเศรษฐีและคนทุกคนในบ้านเสียอกเสียใจกันเป็นการใหญ่ เศรษฐีเลยห้ามปรามคนทั้งหลายให้ทราบว่า

          “เห็นไหม ข้าเคยบอกแล้วว่าเมื่อเราได้ม้ามาแล้วมันก็อาจเสียอะไรต่อไปอีก ตอนนี้เราก็เสียลูกเพราะลูกพิการ แต่อย่าไปเสียใจอะไรเลย ต่อไปเราอาจจะได้อะไรที่เราคาดไม่ถึงก็ได้ เฉยๆ ไว้ก่อนเถอะ อย่าเพิ่งตีโพยตีพายไป”

          หลังจากนั้นไม่นาน ปรากฏว่าทางบ้านเมืองเกิดสงคราม ทางราชการต้องเกณฑ์ชายฉกรรจ์ในบริเวณบ้านเศรษฐีไปรบ แต่ละคนล้มตายกันหมดเพราะภัยของสงคราม ส่วนลูกเศรษฐีได้รับการยกเว้นเพราะร่างกายพิการ ถ้าไม่พิการก็ต้องถูกเกณฑ์ไปรบ ก็คงต้องตายในสนามรบเป็นแน่น ลูกเมียภายในบ้านก็พากันดีใจ

          “โชคดีแท้ ๆ ลูกเราไม่ต้องได้ออกรบ ไม่ต้องไปตาย”

          เศรษฐีก็บอกอีกว่า

          “อย่าไปดีใจมันอาจจะมีอะไร เป็นผลเสียตามมาอีกก็ได้”

          และแล้วก็เป็นจริงอย่างที่เศรษฐีคาดไว้ ทางการแจ้งว่าเศรษฐีมีลูกพิการช่วย เหลือราชการบ้านเมืองไม่ได้ แต่มีม้าหลายตัว ทางการจึงขอม้าของเศรษฐีไปทั้งหมดเพื่อจะเอาไปใช้ในสงคราม ลูกเมียเศรษฐีก็พากันเสียใจ เสียดายม้า ขอร้องเศรษฐีว่าม้าทั้งหมดยกให้
ทางการ แต่ขอให้เก็บม้าแสนรู้ไว้ตัวหนึ่งแล้วกัน เศรษฐีเลยบอกให้ลูกเมียและคนในบ้านว่า

          “อย่าขอมันเลยม้าตัวนี้ มันทำให้เราดีใจเสียใจมากกี่ครั้งแล้ว ถ้าเราให้เขาไปเสียหมด ตัวเสียมันก็หมด มันต้องได้หมดได้แล้วเสียหมดกันอยู่ทีหนึ่ง “

          นิทานเรื่องนี้จึงสอนให้รู้สึกว่า ไม่มีใครที่จะได้ตลอดไป เมื่อมีได้ก็ย่อมมีเสีย จึงควรจะตระหนักถึงกฎธรรมชาติข้อนี้ไว้ จะได้ไม่เสียใจหรือดีใจมากเกินไปจนทำให้ชีวิตผิดพลาด