ในเมืองสาวัตถี มีทุคตะสองคนผัวเมีย มีอาชีพหาของป่ามาขาย มีในวันหนึ่ง พระพุทธองค์จะมาเทศนาสั่งสอนคนในเมืองสาวัตถี แล้วก็สองคนผัวเมียนี้มีผ้าสไบผืนเดียว ถ้าว่าเมียมันจะไปกาดนั้นก็ให้เมียมันนุ่งไปเสีย ถ้าว่าผัวมันจะไปก็ให้ผัวมันนุ่งไป สองผัวเมียมีผ้าผืนเดียวเท่านั้น
คราวนี้ผัวมันไปฟังพระพุทธเจ้าเทศนาธรรมเมืองสาวัตถี มันก็เห็นพวกเศรษฐีถวายเงิน ถวายคำถวายผ้า ถวายเสื้อ ส่วนมันไม่มีอะไรมันเป็นคนทุกข์ไร้คิดไปคิดมา
“เอ กูจะเอาผ้าผืนนี้ทานหื้อเปิ้นเนอ วันพูกเมียกูก็จะไปกาด เมียกูจะบ่ได้นุ่งเสื้อแหมแล้ว“
ทีนี้มันก็กลับมาคุยกับเมียมัน เมียมันไปฟังพระพุทธองค์สั่งสอนอีก ฟังแล้วกลับมาคุยผัวมันอีก
“เราจะถวายทานอย่างไร เงินเราก็ไม่มี ผ้าเราก็มีผืนเดียว”
“ให้เธออยู่บ้านเสีย คืนนี้ข้าจะไปคนเดียว ผู้หญิงมันไปยาก”
ฝ่ายชายผู้เป็นผัวเมื่อไปฟังพระพุทธเจ้าเทศนาธรรมในเมืองสาวัตถี มันก็เกิด
ปิติตามมา
“เอ กูจะเอาผ้าผืนนี้ทานเสีย กูจะตัดสินใจถวายทานให้พระพุทธองค์ เอาไปทำผ้าเพดานกั้นบนหัวพระพุทธองค์ดีกว่า กูเกิดมาชาตินี้กูยากจน เพราะชาตินี้กูไม่ได้ทำบุญและชาติก่อนกูก็ไม่ได้ทำบุญทำทานไว้ กูไม่มีอะไรกูทุกข์ไร้ เขาร่ำรวยกันก็เพราะสร้างกองบุญไว้แต่
ชาติก่อน”
มันก็ยกผ้านั้นขึ้นถวายทานเสีย ผ้าเก่าผ้าขี้เมี่ยงผ้าขี้ไคลผืนนั้นนั่นแหละ พระ พุทธเจ้าก็รับเอาผ้านั้นไว้ มันก็ไชโยโห่ร้องคนเดียวของมัน
“ไชโยๆๆ ผมชนะแล้ว”
คือมันชนะจิตมัน มันลบความตระหนี่ ทีนี้เศรษฐีคนหนึ่งได้ยินก็อยากรู้ว่ามันชนะอะไรจึงถามไปว่า
“เอ… ไอ้ทุคตะนั้นมันชนะอะไร เรียกมันมาหน่อยซิ”
แล้วคนใช้ก็เรียกไอ้ทุคตะนั้นมา
“ที่มึงไชโยโห่ร้อง ว่ามึงชนะนั้นนะ มึงชนะอะไร”
“เออ… ผมไม่ชนะอะไร ผมชนะความตระหนี่ของผม บริจาคผ้าผืนนี้หละ เมียผมจะไปกาดก็นุ่งผ้าผืนนี้หละ ผมจะไปกาดก็นุ่งผ้าผืนนี้หละ มันมีผืนเดียวเท่านั้นแหละ เลยสละ
จิตเอาไปบริจาคเสีย “
พระพุทธองค์ก็บอกมหาเศรษฐีให้เอาผ้ามาให้ทุคตะอีกสามสิบสองผืน มาให้ทานมัน มันก็ไม่รับ มันเอาให้เมียมันเสียคู่หนึ่ง มันเอาเสียคู่หนึ่ง นอกนั้นมันเอาทำผ้าเพดานกั้นบนหัวให้พระพุทธเจ้าจนหมด
นิทานเรื่องนี้จึงสอนให้รู้ว่าการทำบุญทำทานนั้นไม่ว่าจะทำมากหรือน้อย แต่ถ้ามีใจบริสุทธิ์ มันก็ได้กุศลเหมือนกัน