กตัญญกตเวที



          เดิมทีมีพญาช้างสองตัวแม่ลูกอยู่ในดงในป่าเซาะหากินลูกไม้หัวมัน เป็นต้นว่าไม้ไผ่ ใบบง ใบอ้อย ที่ไหนมีก็สู่กันสองตัวแม่ลูกเท่าอั้น ก็อาศัยเลี้ยงชีวิตไปในป่า ทั้งนี้และทั้งนั้นช้างสองตัวนี้ก็รักกันแท้เนอ แม่รักลูก ลูกก็รักแม่ ทั้งนี้แม่ก็แก่เฒ่ามาทุกขณะ อนิจจาวัฏสังขาราสังขารทั้งหลายบ่เที่ยง เมื่อบ่เที่ยงแล้วก็แก่ชรา กายธิมังสังหนังที่เคยตึงมันก็หดก็เฉื่อยชา แสงตาที่ได้หันก็มัวมืด หูที่เคยได้ฟังชัดก็บ่ได้ยิน ทั้งนี้อาศัยอวัยวะทุกส่วนในร่างกายนี้ ย่อมขำขาดไปตามกัน เฒ่าชะแรแก่ชรา

          ช้างตัวแม่นั้นตาก็บอดเซาะหากินบ่ได้ อาศัยลูกอันเป็นที่รักในดวงใจเลี้ยงแม่มา เออ เข้าในป่าในดงอรัญญาป่าไม้ ได้ใบไผ่ใบบงใบอ้อยได้มาเรียบร้อยก็เอามาหื้อแม่กินตึงวันๆ ก็ได้อาศัยแรงลูก ที่ได้กตเวทีตอบ แทนบุญคุณของแม่ที่ได้อุ้มเกลี้ยงเลี้ยงใหญ่มา

          มีอยู่วันหนึ่งพระยาเจ้าเมืองออกเที่ยวป่าล่าเกวียนป่าวหื้อเสนาอามาต์เอาข้าวห่อย่อปลาตวยเน่อ วันนี้จะเข้าป่าดงพงไพร ไปเซาะหาสัตว์ในป่าในเงื่อนในดงปู้นไปพอดีเสนาอามาตย์ก็พากันไป ไปปะใส่ช้างตัวลูกงามก็งามงอนก็งาม ดูช้างหื้อดูหาง ดูนางหื้อดูแม่ ดูแน่ๆ หื้อดูถึงตาถึงยาย นึกไปนึกมาก็ใคร่ได้แท้เนอช้างตัวนี้ ก็ป่าวร้องก้องป่าวเสนาอามาตย์
“เออ ขอคล้องช้างหื้อกำเต๊อะเสนาเหยข้าใคร่ได้ช้างตัวนี้”

          เสนาอามาตย์ก็ประกาศก้อง ญาติพี่น้องมารวมกัน

          “เออ เขาจะคล้องช้างหื้อพระยา เมื่อห้างเวียกห้างหยังสำเร็จเสร็จฝนแล้ว คล้องช้างตัวนั้นสำเร็จ”

          เมื่อสำเร็จได้ตามความประสงค์ ก็เอาเข้าบ้านพ่อพระยา พ่อพระยาก็ปกป่าวเสนาอามาตย์ “เออ หื้อสูแปงคอกใหญ่ๆ เอาใบไผ่อ้อยใบบงที่ช้างมักมาหื้อมันกินตึงวันๆ เน่อ เสนา”

          ทั้งนี้และทั้งนั้นช้างตัวนั้นมันอยู่ในคอก ออกก็ออกบ่ได้ของกินก็มีสะป๊ะสะเป้ดอยู่หั้นหมดของกินที่เคยมักที่ช้างตัวนั้นมัก ห้าหกวันผ่านไปน้ำตาไหลบ่ขาดเบ้า นึกถึงแม่เป็นเจ้าที่ได้เลี้ยงมา นึกไปนึกมาจิตกระแสส่งถึงแม่ แม่ก็นึกถึงลูกขนาดนาคางอยู่อึ่งๆ

          “ลูกเอ๋ยลูกรักเดี๋ยวนี้ฮ้างแม่ไปไกลลูกไปไหนหยังบ่มา ไปตายกาว่าหนังบ่รู้ บัดนี้แม่ก็แก่ชราแล้วบ่ได้กินไม้ไผ่ใบอ้อย ใบบงหยัง แต่ตามเดิมมาลูกเคยแล่นต้อนกอนแม่ร้อนลูกก็อมน้ำมาหื้อแม่กิน”

          น้ำตารินไหลหลั่งนึกถึงลูกแท้เนอ เมื่อใดลูกข้าจะกลับมาตายกาแสนโสกาโศกเศร้า แม่ก็เฒ่าไปตึงวัน กึ้ดไปดังจะอี้แล้ว ต่อนั้นมาก็เป็นวันที่หก ช้างก็อยู่ในคอกน้ำตาตกพระยาเจ้าเมืองก็อยู่ข้างคอกช้างมาผ่อมากอย พอมาผ่อก็นึกว่า “ เอ้อ ช้างตัวนี้ผอมไปแหมเมาะมันผอมมันบ่กินหยังของที่เคยกินบ่กิน ของที่เคยมักบ่มัก มันเป็นอะหยังนิ ธรรมดาคนเฮาขาดอาหารมันตึงบ่ได้” เพราะจะอั้นก็เอ่ยปากขึ้นมา “กุญชรเอย เป็นหยังตกโสกาน้ำตาโศกเศร้าน้ำตาไหลหลั่งเบ้าจะอั้นบ่กินหยัง”

          เทวดาบันดาลหื้อช้างอู้ได้ ช้างก็เอ่ยปาก

          “ไหว้สามหาราชาเจ้า ที่ข้าพเจ้ามาอยู่ในคอกมีของกินหมดทุกสิ่งทุกอย่าง จะกินอันใดก็เต็มกำมีนี้หมด อาหารที่โอชารสที่เคยกินนั้นนา ที่ข้าพเจ้าบ่กินนี้เพราะอะหยังเพราะนึกถึงแม่มหาราชเหย บัดนี้ได้หกวันแล้วแม่คงตาย แม่บ่ได้กินข้าวบ่ได้กินน้ำ นึกถึงแม่นี้แล้วจะตายตวยแม่นี้แล้ว เพราะฉะนั้น มหาราชเจ้า มหาราชาเจ้าเมื่อข้าพเจ้านึกถึงแม่แล้วขออนุญาตปล่อยข้าพเจ้าเต๊อะ บ่หื้อได้มีบาปมีกรรมหยัง”

          พระยาเจ้าเมืองได้ยินดังนั้นก็ตรัสลั่นพระวาจาว่า “เสนาเห้ย ปล่อยช้างนี้ออกไปเต๊อะ ออกจากคอกเต๊อะมันนึกถึงแม่มัน มันบ่กินหยัง มันนึกถึงแม่มัน” เสนาก็ว่า
“ไปปล่อยช้างเตคอกออกไป”

          มันก็กินอ้อยเหียกำมอกชื่นอกชื่นใจ แล้วยังบ่แหนมคาบไปหาแม่จะเวยเนอก็กลัวเป็นปิเป็นปั่น ย่างเซไปเซมานึกถึงหาแม่เข้าป่าเข้าดงด้วยกระแสจิตวิญญานนึกถึงแม่ไปตลอดทาง แม่ก็คางอยู่ฮือๆ “ลูกเป็นจะฮือหยังบ่มา” วันถ้วนเจ็ดลูกมาถึงก็ก้มกราบ กราบแม่เป็นเจ้า

          “แม่เหยบ่าเดี่ยวลูกไปอยู่ในคอก ออกมาบ่ได้ไห้อยู่ที่พระยา ไห้หาแม่ตึงวัน ๆ แม่เหยข้ามาระลึกถึงจะอี้บัดนี้ลูกก็มาแล้วเอาอ้อยมาเคี้ยว” พอได้น้ำก็เอามาใส่ปากหื้อแม่กิน แม่ก็ได้สติใหม่ชื่นขึ้นมา ได้หันหน้าลูกก็นึกถึงลูกถึงเต้า มาดังสมประสงค์ ช้างตัวลูกใจดีได้หันหน้าแม่ เพราะแม่บังเกิดเกล้าได้เลี้ยงลูกมาจนใหญ่โต ใหญ่มาเฮาก็ตอบแทนบุญคุณเปิ้น
อันนี้หละสัตว์เดียรฉานยังนึกถึงบุญคุณของแม่