ยังมีครอบครัวหนึ่ง มีลูกชายอยู่คนหนึ่งชื่อว่าปัญญา พอเจริญเติบใหญ่ขึ้นมาแล้วก็อายุได้ ๑๘ ปีเต็ม ใจอยากใคร่ได้คู่สร้างคู่สม อยู่มาวันหนึ่งก็เอ่ยปากต่อพ่อแม่ผู้บังเกิดเกล้า อยากใคร่มีครอบครัวสักคนหนึ่งกับเขา พ่อแม่ก็ยินยอมหื้อลูกเป็นอันมาก อยากใคร่ได้หญิงสาวอย่างใด พ่อก็จะหามาหื้อ ลูกก็บอกว่า
“พ่อแม่บ่ต้อง ผมจะไปเซาะค้นหาเอง ผมอยากใคร่ได้ญิงอย่างนี้ครับพ่อแม่ คือว่าหุงข้าว ๗ วันบ่บูดบ่เบี้ยวนั้นแล”
ส่วนนางสาวกัลยา เป็นลูกสาวของอีกครอบครัวหนึ่ง พ่อแม่ดีก็จะหาสามีหื้อ ส่วนนางสาวกัลนั้นก็ว่า
“ข้าเจ้าจะไปเซาะหาคู่สร้างคู่สมคนเดียว จะหาเอง พ่อแม่บ่ต้องไปเซาะไปหาหื้อข้าเจ้าเลย ข้าเจ้าก็ใคร่ได้เนื้อคู่ดี สามารถทำตลาดรอบบ้านได้เป็นสามี”
ต่อมา สองคนนี้ก็ได้เดินทางมาพบกัน ชายเจ้าปัญญาก็เดินตรงเข้าไปหา ก็ใช้กำปั้นลูกกุยหื้อนางสาวกัลยาดู แสดงว่า ถามว่านางมีคนรักแล้วหรือ นางก็ตอบว่าบ่มีเลย ปัญญาก็ตั้งหน้าทำการเป็นพ่อบ้านที่ดี มีหัตถกรรม การฝีมือ การช่างทุกชนิด พานิชกรรม การค้าการขาย กสิกรรม การปลูกเป็นการทำนาทำสวนครัว มีมะฟัก มะแตง มะเต้า กล้วยอ้อย หมากพลู ผักแคบ ข้าว พริก ถั่วลิสง เหล่านี้เป็นต้น ปัญญาได้ทำตลาดไว้รอบบ้านรอบรั้ว ได้เงินได้ทองมาบ่ขาดสักวันตามโอวาทข้อห้า ส่วนนางกัลยานั้น หน้าที่ของแม่บ้านก็คือจัดการหุงข้าวหุงแกงในครัวเรือน บ่บ่น บ่เดือด บ่แซ่ม บ่สวก ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ เจ็ดวันหุงข้าวบ่บูด บ่ใช่ข้าวบูด คือว่าหน้าตาของนางบ่บูดบ่เบี้ยวต่างหาก มีกิริยาอ่อนน้อมต่อสามี ตั้งอยู่ในโอวาทห้าข้อ เป็นภรรยาที่ดี