กาลครั้งหนึ่ง มีชายทุคตะคนหนึ่ง จะเข้าป่าไปหาฟืนมาขายเป็นอาชีพ ก็ได้ห่อข้าวไปด้วยหวังว่าจะได้กินระหว่างทาง เมื่อไปถึงกลางทางก็ได้พบปะกับมหาเถรเจ้าบิณฑบาต ก็ได้มาคิดว่าตนเองได้ห่อข้าวกับแคบหมู ถ้าได้เอาไปใส่บาตรถวายพระ ก็คงจะดี ก็ได้เอาห่อข้าวห่อนั้นถวายกับพระมหาเถรเจ้าแล้วก็หาบฟืนไปขาย
วันนั้นเป็นเดือนยี่ขึ้นสิบสี่ค่ำ ฝ่ายพระมหาเถรเจ้าได้รับข้าวห่อของทุคตะไปแล้ว ก็ฉันข้าวที่ชายทุคตะถวายให้แล้วมาคิดว่า ชายผู้นี้ได้เอาแคบหมูถวายกับห่อข้าวนั้น เราจะบีบเป็นน้ำมันใส่ผางประทีปเพื่อบูชาในวันเพ็ญหรือยี่ หรือยี่เป็ง คิดแล้วพระมหาเถรเจ้าก็บีบ
แคบหมูเพื่อเอาน้ำมันใส่ผางประทีปในวันนั้น ก็มีมหาเศรษฐีได้นำน้ำมันมาถวายให้กับพระมหาเถรเจ้าเหมือนกัน
พอตกกลางคืนก็เกิดแผ่นดินสะเทือนไหว มหาเศรษฐีก็คิดว่าผางประทีปของตนที่ถวายให้พระมหาเถรเจ้านั้น มีอานิสงส์มากนักก็รีบมาไหว้พระมหาเถรเจ้า แล้วถามว่าเป็นเพราะว่าน้ำมันที่ที่ตนนำมาถวายใช่หรือไม่
ท่านมหาเถรเจ้าได้ตอบว่าบ่ใช่ เป็นแต่ชายทุคตะนั้นเอาห่อข้าว มากับแคบหมูทานวันนั้นหื้อแก่เฮา เราบีบเอาน้ำมันหมูนั้นใส่ผางประทีปบูชา แผ่นดินก็จึงไหวขึ้นมา เพราะ
อานิสงส์ที่ชายทุคตะได้เอาห่อข้าวเป็นทานในวันแรมสิบสี่ค่ำนั้น
พอมหาเศรษฐีได้ฟังดังนั้นก็เลยเสียอกเสียใจ อยู่ที่ไหนเกิดความลังเล จึงคิดจะจุดเทียนบูชาเองจึงเรียกเสนาอำมาตย์มาพร้อมกันแล้วกล่าวว่าสมควรปู่จาอีก เลยใช้ให้เสนาขุดหลุมกว้าง 3 วา ใช้เทียนเท่าลำตาลเพื่อจุดบูชา บอกให้เสนาทั้งหลายว่า ใครคนใดอย่า
ดิ้น ให้พากันฟังอาการบูชานี้ แผ่นดินจักไหวแน่ พอดีการบูชาแล้วเสร็จก็ไม่ไหวเลย มหา
เศรษฐีจึงกลับไปหามหาเถรเจ้า
"ข้าพเจ้าปู่จาแล้วบ่มีแผ่นดินไหวอย่างใด”
พระมหาเถรเจ้าได้บอกหื้อเศรษฐีว่า
"การที่เป็นแผ่นดินไหวนั้น เป็นเพื่อชายทุคตะท่านเลยปู่จาแล้วจึงจักไหว ผลอานิสงส์ทานของห่อข้าวกับแคบหมูของทุคตะวันนั้น"
เศรษฐีก็เลยขอแบ่งบุญกับท่านเถรเจ้า ท่านเถรเจ้าก็บอกให้เศรษฐีว่า
“ท่านจงไปขอกับชายทุคตะนั้นเถอะ การขอแบ่งบุญนั้นให้มีปัจจัยสี่แลก เปลี่ยน เอาแลกเปลี่ยนกันจึงจะได้ "
เศรษฐีอยากได้บุญก็เอาที่อยู่ที่อาศัย ข้าวน้ำ ผ้าครัว ข้าวของเงินทองมามอบให้ชายทุคตะทันที ครานั้นชายทุคตะก็ได้เสวยผลบุญกุศลอันนั้น ด้วยอำนาจที่ได้ทานข้าวห่อกับ
แคบหมูจนได้เป็นเศรษฐีถึงวันนี้