นายพรานเป็นดี



          กาลครั้งหนึ่ง มีนายพรานผู้หนึ่งเป็นคนยากจนเข็ญใจ อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กในป่าแห่งหนึ่งกับเมียของตน นายพรานนั้นเป็นคนใจดีมาก โอบอ้อมอารีแก่เพื่อนบ้าน หาเนื้อมาได้ เมื่อใดไม่ว่าได้มากได้น้อย ก็ไม่กินเพียงคนเดียว เที่ยวไปเรียกชาวบ้านทั้งหลายให้มาแบ่ง
เอาเนื้อไปกินคนชิ้นสองชิ้น เมื่อสามีทำอย่างนี้บ่อยๆ เมียมันก็เกิดเคืองใจแล้วต่อว่าผัวของตนว่า

          “สูเป็นคนง่าว(โง่) เป็นคนทุกข์คนจนแท้ๆ หาเช้ากินค่ำได้มาก็บ่เอาเก็บไว้ เอาแจกหื้อคนอื่นหมด เมื่อไหร่จะมั่งจะมีกับเขาซักที คนอื่นเขาได้อะไรมาเขาก็เอาตากไว้ รุ่งขึ้นก็เอาไปขาย ไม่มีใครโง่เหมือนสูซักคน สูเป็นอย่างนี้ก็ไม่ต้องอยู่ด้วยกันอีกต่อไปแล้ว”

          ฝ่ายนายพรานผู้เป็นผัวก็ตอบว่า

          “ทำไมถึงพูดอย่างนั้นล่ะ ข้าหาเนื้อมาได้ก็ตากไว้นั่นยังไงเล่า อย่าพูดอย่างนี้อีกนะ”

          ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นายพรานก็ทำเช่นเดิมอีกโดยไม่ฟังหรือเชื่อตามคำทัดทานของเมีย เมียจะว่าอย่างใดก็ไม่ฟัง ไม่ใช่แต่เนื้ออย่างเดียว สิ่งของอื่นนายพรานก็แบ่งปันให้
ชาวบ้าน ชาวบ้านทั้งตำบลก็มีใจรักใคร่นายพราน นับถือนายพรานคนนี้ ไม่ว่านายพรานจะมีธุระอะไรที่ลำบากก็เข้ามาช่วย พอมาถึงถ้านายพรานทำอะไรเขาก็เข้ามาช่วยทำการทำงาน แต่เมียมันไม่ชอบ เพราะว่านายพรานไม่เอาใจใส่เมียเลย เอาใจใส่แต่ชาวบ้านคนอื่น

          นานเข้าข่าวก็ไปถึงหูพระยาเจ้าเมือง เหล่าเสนาอามาตย์ก็ตีฆ้องร้องป่าว หาคนจะมาปกครองหมู่บ้านนี้ให้มาสมัคร ฝ่ายชาวบ้านเขียนคำร้องทั้งหญิงชายแก่หนุ่ม ก็พากันเลือกเอานายพรานใจดีคนนั้นให้เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน เมื่อพระยาเจ้าเมืองรู้ความดีของนายพรานคนนั้นแล้วก็นำเอาช้างม้าวัวควายไร่นาข้าทาสคนใช้ให้เป็นรางวัล

          ตั้งแต่นั้นมานายพรานก็ไม่ต้องออกไปล่าสัตว์ ล่าปลาอย่างแต่ก่อนแล้ว อยู่กับบ้านกินไม่หวาดไม่ไหว ฝ่ายเมียก็สำนึกได้แล้ว เพราะว่าบุญคุณอันนั้น ตั้งแต่นั้นมาเมียของนาย พรานไม่ทำตัวขี้เหนียวเหมือนเดิมอีก