ซื้อวิชาปัญญา



          มีพี่น้องอยู่ด้วยกัน ๗ คน น้องคนสุดท้องนั้นมันไม่มีอะไรซักอย่างเป็นทุคตะ ส่วนพี่ทั้ง ๖ นั้นเป็นที่สรรเสริญยกยอปอปั้น ลูกชายทั้ง ๖ คนนั้นก็เอาเรือสำเภาไปค้าขาย และไปซื้อของมาขาย น้องคนสุดท้องก็ล่องไปกับพี่ทั้ง ๖ และมีเงินติดตัวแค่ ๖ แถบเท่านั้น เมื่อไปถึงที่หมาย พี่ชายทั้ง ๖ ก็ไปซื้อของมาจนพอเต็มสำเภอทั้ง ๖ ลำ ไอ้ทุคตะนั้นก็ไม่มีเงิน ไปซื้อที่ไหนก็ไม่ได้ พอดีว่ามีคนแก่คนหนึ่งเดินมาถาม

          “หลานจะไปที่ไหนหรือ”

          “โอ มาหาซื้อของ แต่ว่าไม่ได้ เพราะว่าข้ามีเงินอยู่ ๖ แถบ”

          “โอ ไม่ยากหลาน ให้หลานซื้อเอาวิชาปัญญาของพ่อเฒ่านี้ไปเสีย ๖ แถบ พ่อเฒ่าจะขายให้”

          ชายทุคคตะก็ตกลงซื้อเอาวิชาปัญญานั้นมา พ่อเฒ่านั้นก็สอนการโกหกให้เจ้าทุคตะคนนั้นว่า

          “ถ้าหลานจะนอนสูงก็ขอให้นอนคว่ำ ถ้าหลานจะนอนต่ำก็ให้นอนหงาย”

          ทีนี้ก็ถึงเวลาเอาเรือสำเภาออกเดินทางกลับเมือง พี่ชายแต่ละคนก็มีข้าวของเต็มเรือ ส่วนชายทุคคตะก็ไม่ได้อะไรมาเลย พอเรือมาถึงศาลาของยักษ์ที่หนึ่งก็มาจอดเรือนอนศาลาที่นั้น และก็ไม่มีใครรู้ว่าเป็นศาลาของยักษ์ ไอ้ทุคตะนั้นเขาให้นอนข้างนอกเขาไม่ให้นอน
ข้างในด้วย เขากลัวนอนไม่หลับ และมันก็คิดได้ถึงคำที่ชายแก่คนนั้นสอนว่า

          “พ่อเฒ่าว่านอนสูงหื้อนอนคว่ำ กูต้องนอนคว่ำหน้า”

          มันก็นอนไม่หลับ ลงมานอนที่พื้นอีก

          “อืม...... พ่อเฒ่าบอกว่านอนต่ำให้นอนหงาย"

          ซักพักยักษ์เจ้าของที่ก็เหาะเหินลงมาที่ศาลานั้น ก็เอารองเท้าทิพย์ไม้เท้าทิพย์ไว้ที่หน้าศาลา แล้วขึ้นศาลาไปก็เปิดประตูก็เอาไม้แหลมไปร้อยเอาพี่ชายทั้ง ๖ คนนั้น ไอ้ทุคตะมันเห็นยักษ์ทิ้งรองเท้าทิพย์ไว้นั้น มันก็ไปสวมรองเท้าทิพย์ คว้าไม้เท้าทิพย์ ก็ไปอยู่ที่เรือสำเภา ส่วนพี่ชายทั้ง ๖ นั้นยักษ์เอาไปกินหมด หลังจากนั้นเรือสำเภาก็เป็นของไอ้ทุคตะหมด มาถึงที่บ้านที่เมือง หมู่คนทั้งหลายก็เลยถามหาพี่ทั้ง ๖ ว่าหายไปไหน ชายทุคคตะก็เล่าเรื่องราวต่างให้คนบ้านฟัง

          “ยักษ์เอาพี่ชายข้าไปกินหมดแล้ว ข้าไม่ได้อะไรซักอย่าง เพียงแต่ได้ไปเรียนไปซื้อเอาความรู้กับพ่อเฒ่าที่บ้านที่เขาไปซื้อของนั้นหละ เขาบอกว่าอย่างนี้ละ ก็เลยเอาตามเขา
ว่า ก็เลยรอดตายมา ได้ไม้เท้าทิพย์รองเท้าทิพย์ ได้เรือสำเภามาเสีย”

          แล้วชายทุคตะผู้นี้ก็กลายมาเป็นมหาเศรษฐีของเมืองไป เพราะว่าลงทุนกับเรื่องของการศึกษาเล่าเรียน
ตกนรก

          มีชีปะขาวองค์หนึ่ง เป็นชีปะขาวมาไม่เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิตซักครั้ง มีวันหนึ่งไปอาบน้ำ ที่คลองอาบน้ำไปหนวดก็ยาวเฟื้อย ออกจากอาบน้ำก็มาสางหนวด กุ้งมาอยู่ในหนวดนั้นตัวหนึ่ง กุ้งเกิดตายไป ชีปะขาวรูปนี้ก็มาคิดว่า

          “เอ กูเติบใหญ่มานี่ บวชเป็นผ้าขาวนี่ ไม่เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิต กุ้งมาตายกับมือโดยที่ไม่เจตนา เราจะทำอย่างไรดี”

          เมื่อชีรูปนี้ตายไป ก็ไปเจอกับยมบาลๆ ก็ถาม

          “เมื่ออยู่เป็นคนนี่เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิตบ้างไหม”

          “อื้อ ไม่เคยนะ”

          ยมบาลก็ถามอีก

          “แล้วมีอะไรเคยตายกับเจ้าบ้าง”

          “อ้อ มีครั้งเดียว มีกุ้งมาติดหนวด เรามาสางหนวดหลังจากที่อาบน้ำในแม่น้ำ กุ้งติดมาด้วยและตายตายโดยที่เราไม่ได้เจตนา”

          แล้วยมบาลก็ถามว่า

          “แล้วเจ้าจะไปทางบุญหรือว่าจะไปทางบาป”

          “เอ ตั้งแต่เติบใหญ่มาไม่ได้ฆ่าสัตว์ กุ้งตายตัวเดียว เราเอาไปทางบาปก่อนดีกว่า มันเป็นตัวบาปติดเรา ต้องใช้หนี้ก่อน แล้วเราจะเอาทางบุญขึ้นสู่สวรรค์ละ”

          แล้วยมบาลก็ให้ไปเกิดในนรก แล้วก็ไม่ได้เกิดบนสวรรค์ซักทีจนพระอริยเมต ไตรยมาเกิดถึงจะได้เกิดพ้นทุกข์ แล้วยังมีอีกคนหนึ่งฆ่าสัตว์ตัดชีวิต กินเหล้าเมายา เป็นชู้กับเมียเขา ทำบาปทุกอย่าง ตายไปยมบาลเอาไปถามอีก

          “เมื่ออยู่เป็นคนเจ้าทำอะไรบ้าง”

          “ข้าทำทุกอย่างแหละท่าน”

          “เหล้นชู้สู้เมียเขา เคยไหม?”

          “เคย”

          ยมบาลก็คิดรองดูในใจ

          “เอ ถ้ามาอยู่นี่ก็จะเหล้นชู้สู้เมียกูอีกรึเปล่า” แล้วก็บอกกับมันไปว่า “งั้น มึงขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ไป๊”

          แล้วส่งไปอยู่บนสวรรค์ เทวดาก็ถามอีกว่า

          “มึงอยู่เมืองมนุษย์นั้นมึงทำอะไรบ้าง เหล้นชู้สู่เมียเข้ารึเปล่า”

          “เคยสิ บ่อยด้วย”

          “โฮะ ไอ่นี้จะมาเล่นชู้สู้เมียกูอีกละ ไปอยู่ข้างบนไป๊”

          เทวดาไล่ขึ้นไปอยู่ข้างบนเรื่อยๆ ไปอยู่ชั้นดาวดึงส์นู่น และยังมีอีกคนหนึ่ง ก็ทำทุกอย่างเหมือนกัน ด่าพ่อล่อแม่ยอมตายตกนรก พ่อแม่มันด่า มันก็ด่าตอบไปว่า

          "ไม่เป็นไร ยอมตกนรก ถ้านรกไม่ลึกก็จะช่วยขุดให้ลึก"

          เมื่อตายไป ยมบาลก็เอาไปถาม

          “ตอนเจ้าอยู่เจ้ากินเหล้าเมายารึเปล่า “

          “กินสิ ของชอบข้าเลยละท่าน ก่อนตายข้าสั่งเขาไว้ว่า ถ้าข้าตาย ข้าขอเหล้าไหหนึ่ง เสียมอันหนึ่ง”

          วันที่จะเอาศพชายคนนี้ไปเผา หามออกจากบ้านแต่ว่ายกไม่ขึ้น ชาวบ้านก็ถามกัน

          “เอ เมื่อมันเป็นคนนั้นมันสั่งอะไรบ้าง”

          “มันสั่งเสียมเล่มนึ่ง กับเหล้าไหนึ่ง”

          พอรู้สาเหตุที่ยกไม่ขึ้นแล้ว ชาวบ้านก็ไปหาเหล้ามาใส่ เอาเสียมมาใส่ ยกบ้างไม่ยกบ้างช่วยกันหาม มันกลับเบาหวิว ยมบาลก็ถามอีก มันก็ว่ามันทำทุกอย่าง

          “เอ้า อย่างนั้นมึงไปตกหม้อกระทะทองแดงในนรก”

          “เดี๋ยวก่อน ใจเย็น ๆ ท่าน ซักแป๊บนึ่งได้ไหม เหล้ามันยังไม่หมดนะ เอาให้มันหมดก่อน เราไปตกนรกแน่”

          มันก็กินเหล้าไป ยมบาลก็แปลกใจ ก็เลยถาม

          “มันอร่อยมากหรือ”

          “แน่นอน ถ้าไม่เชื่อลองกินซักแก้วสิท่าน”

          ยมบาลก็ยกแก้วหนึ่ง

          “เออ อร่อยดีนี่ขออีกแก้ว“

          ชายหนุ่มคนนั้นก็ถามยมบาลว่า

          “เอาอะไรมาแกล้มดีละท่าน”

          ยมบาลก็ตอบไปว่า

          “กาปากเหล็กปากทองอร่อยนะ จับมันมาทำกลับแกล้มดีป่าว“

          ชายคนนั้นก็เอากาปากเหล็กมาทำกับแกล้ม เมื่อมันได้ชิมนั้นถึงกับตะลึงมันก็ว่า

          “เอ อร่อยจริงๆ ลูกพี่ยมบาล”

          กินเหล้าจนเกือบหมดไห กาปากเหล็กปากทองก็หมด มันก็เมายมบาลก็เมา ต่างคนต่างเมา คว้าได้เสียมที่มันจะขุดนรก ก็อาละวาดทุบหม้อกระทะทองแดงในนรกแตกหมด นรกเกิดความวุ่นวายกันหมด จนยมบาลนั้นถูกไต่สวนพิเศษและถูกลงโทษไป จนทุกวันนี้ ยมบาลจึงเกลียดชังคนที่ทำบาปและกินเหล้าไม่ปราณีอีกต่อไป