ตำนานเลขศูนย์



          ตำนานเลขศูนย์นี้ สมัยก่อนเขาว่าเลขที่เราใช้ทุกวันนี้มี ๑๐ เลข เลข ๑ เลข ๒ เลข ๓ เลข ๔ เลข ๕ เลข ๖ เลข ๗ เลข ๘ เลข ๙ เลข สิบ หมายความว่าจะมีเลขสิบอยู่เลขหนึ่ง ไม่ใช่เลขหนึ่งกับเลขศูนย์

          ต่อมาหมดสมัยนั้น เมื่อมีเลขสิบอยู่ หมอดูจะดูดวงแม่นเหมือนตาเห็น ใครไปไหนมาไหนถ้ามาถามหมอดูก็จะรู้หมด ใครกินข้าวอะไรก็รู้หมด ต่อมาวันหนึ่ง มียาจกเข็ญใจคนหนึ่งมาดูหมอ หมอดูก็ทายว่า

          “มึงนี้มันจะลำบากจนตาย พระยาอินทาก็ช่วยไม่ได้”

          ยาจกคนนั้นก็เลยอ่อนใจเพราะว่าหมอดูทายแม่น แต่เสียงที่หมอดูทำนายนี้ก็ส่งเสียงไปถึงสวรรค์ พระอินทร์ได้ยินเข้าก็เลยคิดว่า

          “ไอ้หมอดูนี่มันประมาทกู ในฐานะที่กูเป็นพระอินทร์ กูจะต้องช่วยยาจกคนนั้นให้ได้”

          แล้วพระอินทร์ก็ลงมา พยายามหาทางช่วยยาจกคนนั้น พอเห็นมันเดินมา พระอินทร์ก็เอาไหคำไปตั้งไว้ขวางทางยาจกคนนี้ แต่พอยาจกมันเดินไปใกล้จะถึงก็นึกอะไรไม่รู้ ไปหยิบไม้มาทำทีเป็นคนตาบอด แกว่งไม้ไปมาก็ไปแกว่งโดนไหทองคำ แต่ก็ไม่สนใจก็เดินผ่านไป

          พระอินทร์ก็ไม่ละความพยายาม ก็เอาไหทองคำไปหย่อนไว้จากต้นไม้ กะให้ตรงหน้าผากของยาจก กะว่าจะให้ยาจกไปเดินชนแล้วพอเหลียวดูก็จะเห็นทองคำ แต่พอเอาเข้าจริงๆ ยาจกคนนั้นเดินมาใกล้จะถึง ก็ไปหยิบไม้มาอีกอันหนึ่ง ทำทีว่าเป็นคนแก่ เดินงกๆ เงิ่นๆ หลังโก่งหลังงอ ก็เดินผ่านไหทองคำไปเสีย พระอินทร์อย่างนั้นก็คิดว่า

          “เออ หมอดูคนนี้มันเชื่อได้จริงๆ”

          คิดแล้วก็เลยแปลงกายเป็นคนแก่มาถามหมอดูว่า

          “พ่อหมอ เขาว่าหมอดูนี้ดูแม่นเหมือนตาเห็นจริงเหรอ“

          หมอดูก็ตอบว่า

          “ก็พอสมควรนี่แหละ ก็ดูตามตำรา “

          พระอินทร์ที่แปลงร่างมาก็เลยถามว่า

          “เอา ลองดูให้หน่อยซิ ตอนนี้พระยาอินทร์อยู่ไหน “

          หมอดูก็นั่งนับ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด เก้า สิบ ก็รู้ว่าชายแก่ข้าง หน้าคือพระอินทร์ก็เลยยกมือไหว้

          “พระอินทร์ก็นั่งอยู่ตรงหน้าข้านี่แหละ“

          พอหมอดูรู้ว่าคือพระอินทร์ก็ตกใจ พระอินทร์ก็ตกใจ แต่พอได้สติก็คว้าเลขสิบได้ก็รีบเหาะขึ้นบนสวรรค์ เพราะฉะนั้นจุดที่เลยเลขสิบก็เลยกลายเป็นรูโบ๋ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อนับเลข ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ก็เลยกลายเป็น ๐ เหมือนรูโหว่ที่พระอินทร์คว้าเลขสิบไป
นั่นเอง
เหตุที่ต้องทำบุญให้คนตาย

          ในกาลครั้งหนึ่ง มีพญาเจ้าเมืองพิมพิสาร มีธิดาเพียงคนเดียว พญาพิมพิสารเป็นคนที่รักลูกมาก เมื่อธิดาของพญาเจ้าเมืองพิมพิสารอายุได้ 18 ปี นางก็ได้ล้มป่วย และได้ล่วงลับดับขันธ์ลงไป พญาพิมพิสารก็แสนโศกเศร้า ไม่รู้จะทำอย่างไรดี คิดห่วงลูกสาว กลัวว่าลูกสาวได้ล้มหายตายจากไปแล้วจะไม่ได้กินจะไม่ได้นุ่ง จะไม่ได้อยู่ดีดังตอนที่มีชีวิตอยู่กับพ่อ
กับแม่ พญาเจ้าเมืองพิมพิสารจึงเอาศพของลูกสาวไปไว้อีกฟากแม่น้ำนอกเมือง แล้วใช้ให้
เสนาผู้หนึ่งไปส่งข้าวปลาอาหารให้แก่ศพพระธิดา เสนาก็ได้พายเรือข้ามน้ำไปส่งข้าวทุก
วัน ๆ เป็นเวลาถึงหกปี

          ต่อมาวันหนึ่ง เป็นวันที่น้ำหลากมาก เสนาคนนั้นก็ไม่อาจที่จะข้ามแม่น้ำนั้นไปได้ ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เหลียวไปเหลียวมาเห็นพระภิกษุเดินบิณฑบาตมาตามหนทาง เสนาผู้นั้นก็ได้ใส่บาตรพระภิกษุตนนั้น แล้วก็ส่งผลบุญว่า

          “ขอให้อานิสงส์ของข้าวบิณฑบาตในคราวครั้งนี้ ขอถวายทานไปถึงลูกสาวของพญาเจ้าเมืองผู้ที่ล่วงลับดับขันธ์ลงไป “

          พระภิกษุสงฆ์ก็อนุโมทนาให้ จากนั้นเสนาผู้นั้นก็กลับเข้าเมืองไป พญาเจ้าเมืองพิมพิสารก็ถามว่า

          “เสนาเจ้ากลับมาแล้วหรือ”

          “มาแล้วเจ้าข้า”

          “วันนี้ไปส่งข้าวให้ลูกข้า ไปถึงที่ไหม”

          เสนาก็บอกว่า

          “ข้าเจ้าข้ามน้ำไม่ได้เพราะน้ำนอง ข้าเจ้าข้ามไม่ได้ ข้าเจ้าก็เลยยกข้าวไปถวายทานให้แก่พระสงฆ์ที่ท่านมาบิณฑบาตเจ้าข้า"

          พญาเจ้าเมืองพิมพิสารได้ฟังก็โกรธมาก

          “วันนี้ลูกสาวของกูอาจจะไม่ได้กินข้าวกินน้ำเพราะมึง “

          พญาเจ้าเมืองพิมพิสารก็สั่งให้จับเสนาผู้นั้นไปขังไว้ พรุ่งนี้ก็จะตัดคอเพราะขัดคำสั่งของเจ้าพญา พอตกกลางคืนพญาพิมพิสาร นอนหลับแล้วฝันว่าลูกสาวมาหา ในฝันนั้น พระธิดาได้บอกว่า

          “พ่อจ๋า ยามเมื่อลูกมีชีวิตอยู่ พ่อก็รักลูกเหมือนแก้วตาดวงใจของพ่อ แต่ยามเมื่อลูกล้มหายตายจากลงไปได้หกปี ลูกเพิ่งได้กินข้าวเมื่อวานนี้มื้อเดียว พ่อไม่รักลูกแล้วหรือจ๊ะ“

          ฉับพลัน พญาพิมพิสารก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา และนึกได้ว่าเสนาคนนั้นได้ยกข้าวไปถวายทานให้พระสงฆ์ และเมื่อพระสงฆ์อนุโมทนาบุญ ลูกสาวของตนจึงได้ทานข้าวที่ถวายทานไปให้ ตั้งแต่นั้นพญาพิมพิสารจึงหมั่นทำบุญไปให้ลูกสาว และด้วยเหตุนี้เอง คนทั้งหลายถึงต้องการทานข้าวปลาอาหารไปให้ผู้ตาย