พ่อเชื่อลูก



          สมัยปัจจุบันนี้เป็นยุคแห่งใบปริญญา ทุกคนต่างก็ต้องการทั้งนั้น และยังมีครอบครัวหนึ่งก็ส่งลูกไปเรียนหนังสือที่ในตัวเมืองจนจบ และในปีนี้ต้องไปรับปริญญาที่กรุงเทพทั้งครอบครัวนี้ก็จะไปแสดงความยินดีกับการับปริญญาของลูก แม่ก็ให้พ่อไปกับลูกส่วนตัวเองนั้นจะอยู่เฝ้าบ้าน ก่อนจะขึ้นรถแม่ก็สั่งทั้งพ่อและลูกว่า

          “นี่ลูก อย่าไปโมโหหรือดุพ่อนะถ้าพ่อทำอะไรลงไป ก็เพราะว่าความไม่เคยเข้ากรุงเทพนะ ลูกต้องแนะนำหรืออธิบายให้พ่อฟังนะลูก”

          ลูกก็ตกลงและจะทำตามที่แม่บอก แล้วแม่ก็หันมาคุยกับพ่อบ้าง

          “นี่พ่อ อย่าทำอะไรให้ลูกอายหรือว่าขายหน้านะ เพราะว่าคนมันเยอะ ถ้าลูกบอกอะไรหรือทำอะไรนั้นก็ทำตามลูกนะ”

          พ่อก็พยักหน้ารับ แล้วทั้งสองพ่อลูกก็ขึ้นรถไปยังกรุงเทพเพื่อที่จะรับปริญญา เมื่อไปถึงกรุงเทพนั้นก็พอดีว่าเที่ยงวันพอดี ทั้งสองก็หิวจึงเข้าในร้านอาหารแห่งหนึ่งพ่อก็ไม่รู้จะสั่งอะไร เพราะว่าไม่เคยมาและไม่รู้ว่าต้องทำอะไรยังไงบ้างจึงให้ลูกสั่งอาหารก่อน ลูกก็สั่งก๋วยเตี๋ยวพ่อก็ สั่งเลียนแบบบ้าง เพราะว่าเชื่อคำที่ภรรยาตนเองบอก ลูกปรุงใส่อะไรบ้างหรือปริมาณเท่าไหร่พ่อ ก็ทำตามหมด ลูกคีบกินก๋วยเตี๋ยวพ่อก็ทำเลียนแบบ ลูกเอาช้อนตักซดซุปพ่อก็ทำบ้าง

          หลังจากที่กินอิ่มแล้วลูกก็สั่งอ้อยมากิน พ่อก็เลียนแบบทุกอย่างไม่ผิดเพี้ยนจากลูกเลย ซักพักลูกก็สั่งลอดช่องมากินเป็นอย่างสุดท้าย พ่อก็สั่งบ้างเพราะกลัวจะทำให้ลูกขายหน้าว่าพ่อไม่รู้เรื่องอะไร พอได้ลอดช่องลูกก็เริ่มกินค่อยๆ กินไป พ่อก็ทำเลียนแบบอีกลูกเห็นพ่อทำเลียนแบบตนทุกอย่างก็นึกสงสารพ่อ แต่ว่าก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้กินลอดช่องไปด้วยหัวเราะไปด้วย พ่อก็เลียนแบบอีกทั้งกินทั้งหัวเราะให้เหมือนกับลูก ลูกก็ยิ่งหัวเราะไปใหญ่ก็สำลักลอดช่องจนลอดช่องออกมาทางจมูก เมื่อพ่อเห็นอย่างนั้นก็พยายามทำบ้างทั้งหัวเราะทั้งกินลอดช่องทั้งสำลักและยังพยายามเอาลอดช่องออกมาทางจมูกเหมือนลูก พยายามจนถึงที่สุดก็ไม่สามารถที่จะเอามันออกมาได้จึงบอกกับลูกตนว่า

          “นี่ลูก พ่อพยายามทำเหมือนลูกทุกอย่างแล้วนะ แต่ว่าเอาลอดช่องออกมาทางจมูกเนี่ย พ่อไม่สามารถทำได้ ไม่ว่ากันนะลูก”

          ลูกมันก็หัวเราะจนน้ำหูน้ำตาไหลและไม่รู้จะทำยังไงได้แต่หัวเราะเท่านั้น